‘No Other Land’ ส่งเสียงสะท้อนความโหดร้ายของสงคราม ดังกลางเวทีออสการ์

‘No Other Land’ ส่งเสียงสะท้อนความโหดร้ายของสงคราม ดังกลางเวทีออสการ์

“ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่า ชาวอิสราเอลกับปาเลสไตน์ต่างผูกพันกัน” คำถามนี้คงทำให้หลายคนกลับมาฉุกคิด จากสิ่งที่ชาวโลกรับรู้มาตลอดหลายทศวรรษที่มีแต่ภาพความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ 

ในวันที่ ‘No Other Land’ คว้ารางวัลภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 อาจบอกได้ว่า นี่ไม่ใช่แค่เป็นเพียงความสำเร็จสูงสุดในฐานะคนทำภาพยนตร์

สำหรับผู้เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นชาวปาเลสไตน์และอิสราเอล 4 คน สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาได้มาพร้อมๆ กับรางวัลนี้ คือการส่งเสียงสะท้อนภาพความโหดร้ายและทุกข์ทรมานจากสงครามให้ชาวโลกได้รับรู้

พวกเขาทั้ง 4 ประกอบด้วย ยูวาล อับราฮัม (Yuval Abraham) นักข่าวชาวอิสราเอล, ราเชล เซอร์ (Rachel Szor) ผู้กำกับชาวอิสราเอล บาเซิล อัดรา (Basel Adra) นักข่าวและนักเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์, ฮัมดัน บัลลาล (Hamdan Ballal) ช่างภาพและผู้กำกับชาวปาเลสไตน์ ใช้เวลากว่า 5 ปี ฝังตัวอยู่ใน มาซาเฟอร์ ยัตตา (Masafer Yatta) ชุมชนชาวปาเลสไตน์ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งถูกประกาศให้เป็นเขตยิงทางทหาร เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในดินแดนที่อาจเรียกได้ว่าเป็นนรกบนดินสำหรับชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่

No Other Land บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในมาซาเฟอร์ ยัตตา ช่วงปี 2019-2023 ผ่านเรื่องราวของเพื่อนสนิท 2 คน คือ อับราฮัมกับอัดรา ที่ใช้ชีวิตอยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยกิโลเมตร แต่ราวกับอยู่ในโลกคู่ขนาน โดยอับราฮัมอยู่ในโลกที่ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ตามที่เขาต้องการ เพราะมีป้ายระบุตัวตนว่าเขาเป็นคนอิสราเอล 

ขณะที่อัดราอยู่ในโลกที่ถูกจำกัด ต้องใช้ชีวิตอยู่แค่ในดินแดนเล็กๆ และยังต้องต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของตัวเองจากการยึดครองของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิว ที่เข้าไปทำลายอาคารบ้านเรือน ขับไล่เจ้าของบ้านออกจากพื้นที่ เพื่อสร้างฐานทัพฝึกซ้อมทางทหาร 

นี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามสะท้อนออกมา เพื่อให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่าผลลัพธ์จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่คุกรุ่นมาตลอดหลายทศวรรษ จนปะทุเป็นสงครามในปัจจุบัน สิ่งที่ได้มาคือความทุกข์ทรมานของประชาชนผู้บริสุทธิ์ 

ความสำเร็จของ No Other Land บนเวทีออสการ์ในวันนี้ จึงเป็นมากกว่าความสำเร็จสูงสุดบนเวทีประกาศรางวัลภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ยังเป็นการส่งเสียงที่ดังที่สุดแทนเหยื่อหลายล้านคนที่ถูกผลักให้ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากสงคราม 

ดังคำกล่าวที่สองผู้กำกับร่วมอย่าง บาเซล อัดรา และ ยูวาล อับราฮัม เปิดใจขณะขึ้นรับรางวัลออสการ์ว่า “เราทำภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งในนามชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอล เพราะเมื่อเรารวมตัวกัน เสียงของเราจะดังขึ้น”

“พวกเราต่างก็มองเห็นการทำลายล้างกาซา เห็นผู้คนต้องเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ควรจบลงได้แล้ว เช่นเดียวกับตัวประกันชาวอิสราเอลที่ถูกจับไปอย่างโหดร้ายในวันที่ 7 ตุลาคม พวกเขาควรได้รับการปล่อยตัว”

อัดรา กล่าวต่อว่า “เราขอเรียกร้องให้โลกทำอะไรอย่างจริงจังเพื่อหยุดความไม่ยุติธรรม และการกวาดล้างชาวปาเลสไตน์ เมื่อ 2 เดือนก่อนผมเพิ่งกลายเป็นพ่อคน ผมได้แต่หวังว่า ลูกสาวของผมจะไม่ต้องเผชิญกับสภาพความเป็นอยู่แบบเดียวกับผม” 

ขณะที่ อับราฮัม ซึ่งเป็นผู้กำกับร่วมชาวอิสราเอล ได้เปรียบเทียบการใช้ชีวิตของตัวเขาและอัดรา ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

“เมื่อผมมองไปที่บาเซิล ผมเห็นน้องชายของผม แต่ชีวิตของเราไม่มีความเท่าเทียม ผมได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยมีกฎหมายคุ้มครอง แต่บาเซิลกลับต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายที่บังคับข่มเหง ทำลายชีวิตผู้คน โดยที่พวกเขาไม่สามารถมีปากมีเสียงได้เลย” อับราฮัมระบุ 

ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า ยังคงมีเส้นทางที่อิสราเอลกับปาเลสไตน์จะสามารถหาทางออกทางการเมืองร่วมกันได้ โดยไม่มีชาติใดชาติหนึ่งมีอำนาจทางชาติพันธุ์เหนือกว่าอีกฝ่าย มีแต่ความเท่าเทียมระหว่างประชาชนของเราทั้งสอง 

“น่าเสียดายที่ผมต้องบอกว่า นโยบายต่างประเทศของประเทศที่ผมกำลังยืนอยู่นี่ กำลังขัดขวางเส้นทางนี้” อับราฮัมกล่าว โดยพาดพิงถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ 

“ทำไมคุณไม่คิดว่า ชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ต่างผูกพันกัน เพื่อนร่วมชาติของผมจะปลอดภัยอย่างแท้จริง หากเพื่อนร่วมชาติของบาเซิลปลอดภัย และมีเสรีภาพ”

“ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปสำหรับชีวิตที่ยังเหลือ สำหรับผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่” ผู้กำกับชาวอิสราเอลกล่าวทิ้งท้าย 

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง