สหรัฐฯ ชี้ มกุฎราชกุมารซาอุฯ ได้สิทธิคุ้มกันในฐานะผู้นำประเทศ อยู่เหนือคดีฆาตกรรม ‘จามาล คาช็อกกี’

สหรัฐฯ ชี้ มกุฎราชกุมารซาอุฯ ได้สิทธิคุ้มกันในฐานะผู้นำประเทศ อยู่เหนือคดีฆาตกรรม ‘จามาล คาช็อกกี’

สหรัฐฯ ชี้ มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ได้รับสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีฆาตกรรม จามาล คาช็อกกี นักข่าววอชิงตันโพสต์ ในฐานะประมุขแห่งรัฐ หลังทรงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงอยู่ในสถานะที่ได้รับความคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีฆาตกรรม จามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่มักวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์และรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย แม้หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ จะเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้สั่งการ 

ก่อนหน้านี้ ทนายความสังกัดกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นคำขอต่อศาลตามข้อเรียกร้องของกระทรวงการต่างประเทศให้พิจารณาการดำเนินคดีต่อเจ้าชายโมฮัมเหม็ด หลังจากที่พระองค์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทำให้ทรงมีคุณสมบัติในการได้รับความคุ้มกันในฐานะผู้นำรัฐบาลต่างประเทศ

โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวอธิบายในแถลงการณ์ว่า การพิจารณาสถานะความคุ้มกันทางกฎหมายของกระทรวงต่างประเทศ ดำเนินการภายใต้จารีตกฎหมายระหว่างประเทศที่มีมายาวนานและเป็นที่ยอมรับ โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความใดๆ 

หลังการประกาศดังกล่าว เฮทิส เซนกิซ (Hatice Cengiz) คู่หมั้นของคาช็อกกี ได้ออกมาเคลื่อนไหวบนทวิตเตอร์ โดยระบุว่า “จามาลตายอีกครั้งในวันนี้” พร้อมกับข้อความว่า “เราคิดว่าอาจมีแสงแห่งความยุติธรรมจากสหรัฐฯ แต่นี่เป็นอีกครั้งที่เงินมาก่อน นี่คือโลกที่จามาลไม่รู้จัก และตัวฉันเองก็ไม่รู้จัก” 

ด้านองค์กรกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อโลกอาหรับวันนี้ (DAWN) ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่คาช็อกกีตั้งขึ้นก่อนเสียชีวิต ได้ออกมาประณามการให้สถานะคุ้มกันเจ้าชายโมฮัมเหม็ดว่า เป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจ และแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยอมจำนนต่อซาอุดีอาระเบีย

“นี่เกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาเลยจริงๆ ที่ไบเดนออกมารับประกันว่า โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มกัน ซึ่งตรงข้ามกับที่เขาเคยสัญญาว่าจะทำให้ผู้ที่สังหารคาช็อกกีต้องได้รับโทษ” ซาราห์ ลีอาห์ วิทสัน ผู้อำนวยการบริหารของ DAWN กล่าวกับซีเอ็นเอ็น

ทั้งนี้ คาช็อกกีถูกสังหารและชำแหละศพอย่างเหี้ยมโหดภายในสถานกงสุลใหญ่ซาอุดีอาระเบียในนครอิสตันบูลของตุรกีเมื่อเดือน ต.ค. 2561 โดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาพลักษณ์ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งทรงเป็นผู้ปกครองซาอุดีอาระเบียโดยพฤตินัย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุดีอาระเบีย แม้พระองค์จะทรงยืนกรานปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องมาตลอด 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ถูกมองว่ากำลังพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุดีอาระเบีย โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือน ก.ค. เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ซาอุดีอาระเบียเพิ่มการผลิตน้ำมันเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงขึ้นจากผลกระทบสงครามยูเครน 

การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการครั้งแรกของไบเดนในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า กลับคำพูดจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำให้ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นประเทศนอกคอกเนื่องจากปัญหาสิทธิมนุษยชน และยิ่งเป็นกระแสร้อนแรงขึ้นมาหลังมีภาพไบเดนชนหมัดกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองปรากฏออกมาทางสื่อทั่วโลก

 

ที่มา CNN, BBC, Reuters

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง