ผู้แทนไต้หวันประจำประเทศไทย มั่นใจศักยภาพของไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดของคนไต้หวัน ทั้งด้านการใช้ชีวิตและการทำงาน ชี้สถานการณ์โลกปัจจุบันทำให้ไทยเนื้อหอม เชื่อมั่นศักยภาพคนรุ่นใหม่ไทยมีความคิดสร้างสรรค์-ยึดถือคุณค่าประชาธิปไตย
.
นายจวงซั่วฮั่น ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ workpointTODAY เนื่องในวันเฉลิมฉลองเนื่องในวันชาติไต้หวันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (10 ต.ค.) โดยยืนยันว่าไทยและไต้หวันมีจุดร่วมกันหลายอย่าง ทั้งวัฒนธรรม สันติภาพ รวมทั้งการที่ผู้คนทำงานหนัก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางของคนไต้หวัน ทั้งในด้านการมาทำงานและการมาใช้ชีวิตที่ไทย
ผู้แทนไต้หวันประจำประเทศไทยชี้ว่า นอกจากนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New South Bound Policy) ซึ่งเป็นนโยบายที่ไต้หวันให้ความสำคัญกับความร่วมมือในประเทศแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว สถานการณ์การค้าโลกในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่นำไปสู่การย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังที่อื่น ทำให้มีธุรกิจไต้หวันจำนวนมากสนใจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนี่จะเป็นโอกาสทองทางธุรกิจของไทย
.
โดยข้อมูลในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (2022) ไต้หวันครองอันดับ 1 การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) โดยปัจจุบัน มีชาวไต้หวันอาศัยอยู่ในประเทศไทยราว 150,000 คน และมีบริษัทสัญชาติไต้หวันดำเนินกิจการในไทยราว 5,000 แห่ง
ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ยังยกตัวอย่างถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะเป็นรากฐานความร่วมมือที่ดีระหว่างไทยกับไต้หวัน โดยในปัจจุบัน บริษัทฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก สัญชาติไต้หวัน เพิ่งร่วมมือกับ ปตท. ในโครงการเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า
.
นายจวงซั่วฮั่นระบุว่า กรณีของฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งเพิ่งตั้งโรงงานในลักษณะนี้นอกไต้หวันเพียง 2 แห่ง คือในประเทศไทยและในรัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนว่าไต้หวันยังมองไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในเอเชีย โดยเฉพาะแผนในอนาคตที่เชื่อว่า ไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียได้
.
ผู้แทนไต้หวันประเทศไทยระบุว่า เล็งเห็นความสามารถของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยที่มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถเป็นส่วนผสมกับความถนัดทางเทคโนโลยีของไต้หวัน ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยยังมีจุดร่วมเรื่องคุณค่าประชาธิปไตยเช่นเดียวกับไต้หวันด้วย โดยเชื่อว่า รัฐบาลไทยสามารถจัดวางความสัมพันธ์ภายใต้สถานการณ์ระหว่างประเทศได้
