เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารเพื่อเริ่มกระบวนการยุบกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ
ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้มีคำถามตามมามากมายว่าหากกระบวนการยุบกระทรวงศึกษาธิการเสร็จสิ้นจะเกิดอะไรตามมาเรามาสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดในโพสต์นี้
ปธน.ไม่มีอำนาจสั่งยุบกระทรวง แต่ทำให้เกิดขึ้นได้
ก่อนจะไปพูดถึงผลกระทบ ขอพาไปย้อนทำความเข้าใจคำถามที่หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจถึงขั้นสั่งยุบกระทรวง ได้ด้วยตัวเองเลยหรือ?
คำตอบคือ ‘ไม่ได้’ เพราะตามรัฐธรรมนูญประธานาธิบดีไม่ได้มีอำนาจที่จะสั่งให้ยุบกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาจากความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาและถือเป็นหน่วยงานสำคัญของฝ่ายบริหารได้โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
อย่างไรก็ตามคำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์เพิ่งลงนามไปจะทำให้เขามีอำนาจในการตัดงบประมาณหรือลดการจ้างงานของกระทรวงฯเพื่อปูทางให้กระทรวงนี้ต้องถูกยุบไปในที่สุด
โดยในคำสั่งที่ลงนามเมื่อวานนี้ ทรัมป์สั่งให้ ลินดา แม็กมาฮอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการทุกขั้นตอนที่จำเป็น เพื่ออำนวยความสะดวกในการยุบกระทรวงศึกษาธิการ และคืนอำนาจด้านการศึกษาให้กับรัฐต่างๆ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นข้อสรุปสุดท้ายว่ากระทรวงศึกษาธิการจะถูกยุบหรือไม่ยังไงก็จะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมาชิกส่วนใหญ่ในสภาคองเกรสซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะแม้พรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากอยู่ในทั้งสองสภา แต่เสียงในวุฒิสภาที่รีพับลิกันมีอยู่ 53 เสียง ต่อเสียงของพรรคเดโมแครต 47 เสียง ยังไม่เพียงพอต่อการรับรองการยุบกระทรวง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบอย่างน้อย 60 จาก 100 เสียง
ยังไม่รวมถึงเสียงวิพากษ์จากภายนอกทั้งนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวต่างๆที่พากันออกมาคัดค้านและมีแนวโน้มว่าบรรดานักเคลื่อนไหวอาจจะไปยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อคัดค้านคำสั่งดังกล่าวทำให้ในเวลานี้ยังคงไม่มีความชัดเจนว่ากระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯจะถูกยุบได้จริงหรือไม่
ทำไมทรัมป์อยากยุบกระทรวงศึกษาธิการ
ทรัมป์ให้เหตุผลในการออกคำสั่งยุบกระทรวงศึกษาธิการว่า กระทรวงนี้ “ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เราเลย อีกทั้งก็ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์พวกหัวรุนแรง พวกคลั่งไคล้ลัทธิ และพวกมาร์กซิส”
“เราจะปิดกระทรวงศึกษาธิการ และจะปิดมันให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” ทรัมป์ระบุ พร้อมกับอธิบายต่อว่า สหรัฐฯ ใช้เงินมหาศาลไปกับการศึกษา แต่การศึกษาของสหรัฐฯ ยังคงล้าหลังกว่ายุโรปและจีน
อย่างไรก็ตามมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าท่าทีนี้ของทรัมป์นอกจากจะเป็นการทำตามสัญญาที่เขาประกาศไว้ตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้วยังแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ทางความคิดที่มีมายาวนานเกี่ยวกับระบบการศึกษาอเมริกัน
โดยกลุ่มแนวคิดขวาจัดที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันมองว่าการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาควรจะกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นไม่ใช่รัฐบาลกลาง
กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่อะไร
กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1979 ในยุคของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ โดยมีหน้าที่หลักในการดูแลงบประมาณที่จัดสรรให้กับโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาสำหรับนักเรียนชาวอเมริกัน และยังดูแลเรื่องความช่วยเหลือนักเรียนที่เป็นผู้พิการ ตลอดจนนักเรียนที่ด้อยโอกาส ขาดแคลนทุนทรัพย์
อีกบทบาทสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯคือการดูแลเรื่องการบังคับใช้กฎหมายสิทธิพลเมืองเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติหรือทางเพศส่งเสริมการยอมรับความหลากหลายภายในโรงเรียน
แต่กระทรวงฯไม่ได้มีหน้าที่ในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนต่างๆโดยเรื่องการกำหนดสูตรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น
จะเกิดอะไรตามมา หากกระทรวงศึกษาฯ ถูกยุบ
สิ่งที่หลายฝ่ายกำลังกังวลหากว่าเกิดการยุบกระทรวงศึกษาธิการคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนหลายล้านคนที่อยู่ในครอบครัวรายได้น้อยในพื้นที่ห่างไกลและผู้พิการ
เพราะแต่ละปี กระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ดูแลเรื่องงบประมาณเพิ่มเติมพิเศษให้กับเขตการศึกษาในพื้นที่ที่มีความยากจนสูง ปีละกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 600,000 ล้านบาท) เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ด้อยโอกาสหรือต้องการความช่วยเหลือ มากกว่า 26 ล้านคน
ยังไม่รวมหน้าที่ในการจัดสรรงบประมาณอีกกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 500,000 ล้านบาท) ให้กับโรงเรียนสำหรับคนหูหนวกและคนตาบอด เพื่อให้การดูแลนักเรียนที่เป็นผู้พิการ 7.4 ล้านคน ภายใต้กฎหมายการศึกษาผู้พิการ (Disabilities Education Act) หรือ IDEA
นอกจากผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับนักเรียนแล้ว อีกเรื่องที่กำลังสร้างความกังวล คืออนาคตของเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการที่มีอยู่ประมาณ 4,400 คน ที่มีโอกาสถูกเลิกจ้าง คาดว่าอาจจะสูงถึง 50% ของจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
โดยมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการบางส่วนได้รับอีเมลแจ้งเตือนให้เก็บของใช้ส่วนตัวและคืนทรัพย์สินของรัฐตั้งแต่เมื่อวันพุธ (19 มี.ค.) เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่หลายคนที่มองว่า นี่เป็นการตบหน้า และเตะพวกเขาซ้ำทั้งๆ ที่พวกเขาก็กำลังล้มอยู่แล้ว โดยเชื่อว่า อาจจะมีการฟ้องร้องคำสั่งนี้ตามมาด้วย
เงินกู้เพื่อการศึกษากระทบด้วยไหม
อีกคำถามสำคัญที่ชาวอเมริกันกำลังถกเถียงกันคือเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาของนักเรียนนักศึกษาชาวอเมริกันจะได้รับผลกระทบจากการยุบกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่คำตอบของเรื่องนี้ก็ยังคงไม่ชัดเจน
เพราะตอนแรกก่อนที่ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารแคโรไลน์เลวิตต์โฆษกทำเนียบขาวออกมาแถลงว่าตามแผนการยุบกระทรวงศึกษาธิการจะยังคงเก็บภารกิจที่มีความสำคัญเอาไว้ตามเดิมเช่นการดูแลเงินช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสและผู้พิการและเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
แต่หลังจากลงนามคำสั่งดังกล่าวแล้ว ทรัมป์กลับประกาศว่า ภารกิจสำคัญเหล่านั้น จะต้องถูกโอนไปให้หน่วยงานอื่นๆ ดูแล อย่างกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาก็อาจจะต้องถูกถ่ายโอนไปให้กระทรวงการคลังดูแล ดังนั้นจึงยังต้องจับตากันต่อไป
ทั้งนี้ การลงนามในคำสั่งยุบกระทรวงศึกษาธิการ นับเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่เกิดขึ้นในวันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ครบ 2 เดือนพอดีหลังจากนี้จะมีความเคลื่อนไหวอะไรที่เป็นแรงกระแทกใหญ่ๆตามมาอีกคงต้องติดตามกันต่อไป










