หนึ่งในประเด็นดราม่าร้อนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นเรื่องของยูทูบเบอร์ดัง ‘คิวเท อปป้า’ (Kyutae Oppa) ที่ทีมงานไม่พอใจเงินเดือน จนเกิดการทะเลาะ ขโมยของ ขายความลับบริษัท และนินทาว่าร้ายต่างๆ
ประเด็นนี้ถูกพูดถึงในวงกว้าง ไปจนถึงการตั้งคำถามเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการของคนทำงานในสื่อดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งใน Digital Labour ว่าทางออกของเรื่องนี้คืออะไร
TODAY Bizview ชวนอ่านมุมมองในประเด็นแรงงานสื่อดิจิทัลจาก ‘อ.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์’ หัวหน้าศูนย์ศึกษากฎหมายกับเทคโนโลยี ม.เชียงใหม่ และ ‘ดีเจเพชรจ้า-วิเชียร กุศลมโนมัย’ ยูทูบเบอร์และเจ้าของช่อง djpetjah channel
———–
‘เงินเดือน’ ขึ้นอยู่กับ ‘คุณภาพ’
ดีเจเพชรจ้าบอกว่า เพราะใครๆ ก็สามารถทำช่องยูทูบได้ โดยปัจจุบันคนทำยูทูบแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกที่เป็นกลุ่มเพื่อนที่มีความสามารถคนละด้าน รวมตัวกันมาทำช่องของตัวเอง (ซึ่งพอได้เงินมาก็อาจจะแบ่งในสัดส่วนเท่าๆ กัน)
กับอีกกลุ่มที่ทำในรูปแบบของบริษัท มีการว่าจ้างพนักงานเพื่อมาทำคอนเทนต์จริงจัง จ่ายเงินให้คนในทีมเป็นเงินเดือน ซึ่งบริษัทของคิวเทก็น่าจะอยู่ในรูปแบบนี้
สำหรับรูปแบบบริษัท เงินเดือนขั้นต่ำของคนตัดต่อคลิปจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท
ซึ่งถ้าผลงานมีความโดดเด่น หรือสร้างผลงานออกมาได้ดี ก็จะได้รับค่าแรงที่เพิ่มขึ้น หรือได้โอทีเพิ่มเติมถ้าต้องทำงานล่วงเวลา
แต่ในบางบริษัทที่เป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์ (Production House) จริงจัง คนตัดต่ออาจจะได้รับค่าแรงถึง 70,000-80,000 บาท/เดือนเลยทีเดียว
ในกรณีของ ‘คิวเท อปป้า’ ที่มีการให้ค่าแรงคนตัดต่อคลิปอยู่ที่ 30,000 บาท ก็ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะเงินเดือนในระดับนี้ บางครั้งอยู่ในการศึกษาระดับปริญญาโทด้วยซ้ำ
————-
ช่องยิ่งใหญ่ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเยอะ
แต่สิ่งที่น่าคิดคือ ในวงการยูทูบเบอร์ ยิ่งช่องนั้นมีผู้ติดตามเยอะเท่าไหร่ ก็เหมือนบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนมากขึ้น มีค่าใช้จ่ายเยอะขึ้นตามไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์การถ่ายทำ ที่บางอย่างมีราคาถึงหลักแสน รวมไปถึงอุปกรณ์การตัดต่อในราคาหลักหมื่น ที่จะทำให้คุณภาพของคอนเทนต์ออกมาสวยงาม ได้มุมกล้องที่ดี ภาพคมชัด รวมไปถึงการจ่ายเงินเดือนพนักงานทุกคนด้วย
ดีเจเพชรจ้าให้ความเห็นว่า ยูทูบช่อง Kyutae Oppa ที่มีผู้ติดตามหลายล้าน เปรียบเสมือนองค์กรยักษ์ใหญ่ในวงการ สามารถจ้างคนตัดต่อได้เป็นสิบคน
ส่วนในกรณีของคนทีมงานที่เป็นประเด็นอยู่ ถ้าไม่พอใจในค่าแรงก็แค่ลาออก แต่ต้องไม่ลืมว่าคนที่ตัดต่อคลิปได้ในยุคนี้มีเยอะมาก ชนิดที่ว่าวันต่อไปคิวเทก็สามารถหาพนักงานใหม่ได้ในทันที
————
ปัญหายิ่งหนัก ถ้าเป็นแรงงานกลุ่มฟรีแลนซ์
ตลาดคอนเทนต์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จำนวน Digital Labour ในไทยเพิ่มสูงขึ้น (แบบที่ดีเจเพชรจ้าบอกว่าการหาคนใหม่มาแทนเป็นเรื่องง่าย)
และใน Digital Labour เหล่านั้น มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ทำงานในลักษณะฟรีแลนซ์ ที่อาจต้องเจอปัญหาในเรื่องงานมากกว่าปกติ
โดย อ.ทศพล บอกว่า ถ้าเป็นการทำงานตามระบบแบบปกติ มีนายจ้าง-ลูกจ้าง จะมีการจ่ายค่าแรงในระยะเวลาประจำ มีค่าแรงขั้นต่ำเป็นมาตรฐาน มีชั่วโมงการทำงานตามกฎหมาย ได้รับสวัสดิการทุกคน
ซึ่งในกรณีที่ลูกจ้างต้องการปรับค่าแรงเพิ่มขึ้น กฎหมายบอกว่าลูกจ้างจะต้องรวมตัวกัน และต่อรองเจ้านายเอง
ส่วนระบบอีกแบบที่ใช้แรงงานเป็นกลุ่มฟรีแลนซ์ (freelance) ค่าแรงจะขึ้นอยู่กับผลงานของผู้รับจ้าง หรือในเกณฑ์ของผู้ว่าจ้าง หรือเรียกง่ายๆ ว่าแล้วแต่ตกลง
ข้อดีของการใช้ฟรีแลนซ์คือ นายจ้างไม่ต้องรับพนักงานประจำ ซึ่งช่วยลดปัญหาเรื่องการจัดการต่างๆ และการให้สวัสดิการออกไป อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนตัวคนทำงานได้ง่ายกว่า
ส่วนคนทำฟรีแลนซ์เองก็มีความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่า เลือกรับงานได้ มีอิสระในชีวิต
ทำให้ระบบนี้เป็นที่นิยมในหลายๆ อุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสื่อดิจิทัล
แต่ถึงอย่างนั้น ระบบฟรีแลนซ์ก็มีข้อเสียตรงที่ไม่มีมาตรฐานค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่มีสวัสดิการ (เช่น ประกันสังคม ที่แม้จะมี ม.40 แต่ก็ไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่) และไม่สามารถเรียกร้องการเพิ่มค่าจ้างได้แบบปกติ
ซึ่งการจะได้การเพิ่มค่าจ้าง ต้องผ่านการรวมกลุ่มเรียกร้อง แต่ อ.ทศพล ระบุว่า ฟรีแลนซ์ไทยรวมถึงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมตัวกันเพื่อกำหนดเรตค่าแรงได้ยาก
เพราะกลับแทงข้างหลังกันเอง ทำลายกันเองในวงการ นั่นทำให้การเรียกร้องค่าจ้างที่เหมาะสม และพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานกลุ่มนี้ไม่สามารถทำได้
แต่ถ้าฟรีแลนซ์ไทยหลุดพ้นกับดักการแทงข้างหลังกันเองขึ้นมาได้ ก็น่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้การดูแลสวัสดิการของแรงงานกลุ่มนี้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
—————–
อยู่ที่ความสัมพันธ์ และความเข้าใจกัน
นอกจากเรื่องของคุณภาพ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงในการให้เงินเดือนและสวัสดิการ คือต้องดูด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของบริษัทและพนักงานเป็นอย่างไร
โดยดีเจเพชรจ้ามองว่า ถ้าพนักงานเป็นคนที่เริ่มต้นทำช่องด้วยกันมาตั้งแต่แรก ก็ควรขึ้นค่าแรงให้หากบริษัทได้กำไรดี แต่ถ้ามาทีหลังที่บริษัทประสบความสำเร็จแล้ว ก็อยู่ที่บริษัทเป็นคนพิจารณา
แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะสำคัญที่สุด และน่าจะเป็นทางออกที่ดีในตอนนี้ คือ ‘การเข้าใจกัน’
อ.ทศพล ชี้ว่า สิ่งหนึ่งที่ลูกจ้างวงการทำสื่อดิจิทัลในปัจจุบันต้องมองคือ อย่ามองแค่ว่าเจ้านายสำเร็จแล้วจะเดินไปด้วยกันยังไง แต่ต้องมองด้วยว่าถ้าบริษัทล้มเหลวขึ้นมา เราจะยังอยู่กับเขามั้ย
ซึ่งเจ้านายเองก็ต้องคิดเหมือนกันว่าหากบริษัทล้มเหลว จะมีการจัดการอย่างไร จะมีการเยียวยาพนักงานไหม
“คนเจนใหม่เริ่มเห็นความสัมพันธ์เจ้านาย-ลูกน้อง แบบเพื่อนพี่น้อง แต่สิ่งสำคัญไปมากกว่านั้นคือ แก่นของธุรกิจคืออะไรกันแน่ เพราะถ้าจริงๆ มันคือตัวคนทำงาน หรือฝีมือ ผู้ประกอบการก็อาจจะต้องคิดว่ามันมีต้นทุนในการรักษาคนเก่าด้วยไหม
“หรือถ้ามันคือการทิ้งลายเซ็นในผลงาน แล้วถ้าคนใหม่มาทำ จะยังเหมือนเดิมไหม” อ.ทศพล ระบุ
เพราะสุดท้ายแล้ว การหาแรงงานในวงการสื่อ หรือ ‘Digital Labour’ เป็นเหมือนการหาเพื่อนที่ต้องเข้าใจกันและกัน รู้ความต้องการของแต่ละฝ่าย มองในมุมเดียวกัน
เหมือนกับผู้กำกับหนัง-คนตัดต่อ ที่ต้องใช้สมองเดียวกัน พวกเขาเหล่านี้คงไม่อยากหาคนใหม่ ที่กว่าจะได้คนรู้ใจก็เหมือนเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกรอบนั่นเอง










