ปัจจุบันประเทศอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และมีประชากร Gen Z มากที่สุดในโลก นอกจากจำนวนแรงงานที่น่าสนใจ ทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอินเดียยังน่าจับตามองในระดับนานาชาติ
โดยมีคาดการณ์ว่า ภายในปี 2028 อินเดียน่าจะขยับขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก เป็นอันดับ 3 แซงหน้า ‘ญี่ปุ่นและเยอรมนี’ หรืออาจจะกระโดดขึ้นเป็นอันดับ 2 ก็เป็นไปได้เช่นกัน (ประเมินจาก UBS Global Research)
[ แรงงานเพิ่ม มันสมองดี และการบริโภคภายในแข็งแรง ]
‘ทันวี กุปตา เจน’ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำอินเดียของ UBS คาดการณ์ว่า การเติบโตของ GDP ที่แท้จริงของอินเดียจะทรงตัวที่ 6.4% ในปีงบประมาณ 2027 และเป็น 6.5% ในปีงบประมาณ 2028
โดยได้รับแรงหนุนจากการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง การผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน และการบริโภคที่ยืดหยุ่น รายงานฉบับนี้ยังย้ำว่า เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าทั่วโลกจะมีอุปสรรคเข้ามา เหตุผลสำคัญก็คือ มี External Balance ที่ดี รวมถึงมีวินัยทางการคลัง
ที่สำคัญคือ อินเดียคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มมาจาก ‘ความขาดแคลน’ สู่นวัตกรรมเพื่อสร้างประเทศ อย่างเช่น
คอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ ที่เคยไม่เป็นที่นิยม และมีไม่กี่คนที่เข้าถึงได้ ตั้งแต่ยุค 1980 รัฐบาลเริ่มสนับสนุนและผลักดันนโยบายคอมพิวเตอร์ให้เกิดขึ้นในปี 1984 รวมถึงนโยบายการฝึกอบรม พัฒนา จนกระทั่งสามารถส่งออกซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ได้ในปี 1986
‘บังกาลอร์’ เมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะ ได้รับการวางเป้าหมายให้เป็นเมืองต้นแบบในการส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมไอทีของประเทศ ด้วยความพร้อมหลายด้าน รวมทั้งโลจิสติกส์ เพราะรัฐบาลมีเป้าส่งออก know-how ไอที เป็นหนึ่งในรายการส่งออกที่จะสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจอินเดีย
ปี 2024 อินเดียเปิดตัว ‘Iris’ หุ่นยนต์คุณครู AI ตัวแรกของประเทศสำหรับสอนในโรงเรียนเพื่ออุดช่องโหว่เรื่องการขาดแคลนคุณครูอย่างรุนแรง โดย UNESCO เคยประเมินว่า อินเดียมีความต้องการคุณครูมากกว่า 1 ล้านคน เทียบกับสัดส่วนประชากรในประเทศ และความเท่าเทียมเรื่องการศึกษา
[ ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด เลยคิดค้นเครื่องแยกความเค็มออกจากทะเล ]
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า คนเราไม่สามารถดื่มน้ำทะเลแทนน้ำจืดได้ เพราะน้ำทะเลอุดมไปด้วยเกลือซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดน้ำไม่ต่างกับที่ไม่ได้ดื่มน้ำ
ขณะเดียวกัน อินเดียเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มอย่างรุนแรงมานาน ทั้งจากปัจจัยเรื่อง ภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากรและภาคอุตสาหกรรม และการจัดการทรัพยากรน้ำที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่
เมื่อเร็วๆ นี้สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งสามารถผลิตน้ำจืดจากทะเล ด้วยแสงอาทิตย์และแรงโน้มถ่วงได้ นับเป็นครั้งแรกที่การผลิตน้ำดื่มจากมหาสมุทรใช้ต้นทุนต่ำกว่าที่เคย
นี่คือแนวคิดใหม่ของระบบการแยกเกลือออกจากน้ำแบบมาตรฐาน หรือที่เรียกว่า ‘Desalination’ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาความกระหายของประชากร 4.4 พันล้านคนทั่วโลกที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด รวมทั้งประชากรในอินเดียด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.44 พันล้านคน
ตามรายงานของ ETV Bharat และงานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย Science ระบุว่า ระบบนี้มีประสิทธิภาพมากในพื้นที่ห่างไกล และสามารถทำให้น้ำทะเลดื่มได้ โดยขั้นตอนก็คือ การกลั่นน้ำทะเลแยกกับความเค็มของเกลือ และแร่ธาตุที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ โดยจะดำเนินการด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และแรงโน้มถ่วงของโลกตามหลักง่ายๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้ลดต้นทุนการผลิตในแต่ละครั้งได้ดี
ก่อนหน้านี้ อินเดียมีการทดสอบการกลั่นน้ำทะเลมให้เป็นน้ำดื่มมาแล้ว แต่เป็นโครงการเล็กๆ และทำด้วยวิธีการ Reverse Osmosis ก็คือ กระบวนการกรองน้ำที่ใช้แรงดันสูงบังคับให้น้ำบริสุทธิ์ไหลผ่านเยื่อเลือกผ่าน (membrane) ผ่านรูขนาดเล็กมาก เพื่อแยกโมเลกุลของน้ำออกจากสารเจือปนต่างๆ
อย่างไรก็ตาม มีประชากรที่ได้ประโยชน์เพียง 2.5 ล้านคนในเฉพาะบางเมือง ซึ่งประชาชนจะได้รับน้ำดื่มที่สะอาดจากโรงงานแยกเกลือออกจากน้ำทะเลขนาด 100 ล้านลิตรต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการส่วนใหญ่
ปัจจุบันมีโรงงานกำจัดเกลือออกจากน้ำทะเลมากกว่า 15,000 แห่งใน 120 ประเทศ โดยส่วนใหญ่ใช้กระบวนการที่ต่างกับอินเดีย เช่น การแช่แข็งสุญญากาศ, การไดอะไลซิสด้วยไฟฟ้า (Electrodialysis) และ การออสโมซิสผันกลับ (Reverse Osmosis หรือ RO) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งสูงกว่า
ที่น่าสนใจคือ จำนวนโรงงานผลิตน้ำจืดมากกว่า 7,500 แห่ง ดำเนินงานอยู่ทั่วโลก ซึ่ง 60% ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง ขณะที่ โรงงานใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในซาอุดีอาระเบียสามารถผลิตน้ำจืดได้ 128 ล้านแกลลอนต่อวัน
ส่วน 12% ของกำลังการผลิตทั่วโลกอยู่ในทวีปอเมริกา โดยโรงงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียนและฟลอริดา แต่จะใช้กรรมวิธีแบบการสูบน้ำ และค่อยกลั่นออกมา ทำให้ต้นทุนสูง ส่วนในแคนาดา พยายามคิดค้นตัวกรองน้ำใต้ดินที่ปนเปื้อน เพื่อทำเป็นน้ำดื่มสะอาดให้คนในประเทศ
ที่น่าสังเกตคือ หลายประเทศส่วนใหญ่ที่สามารถผลิตน้ำดื่มจากมหาสมุทรได้ เศรษฐกิจจะค่อนข้างแข็งแรง ด้วยความพร้อมของเทคโนโลยี การสนับสนุนคนในประเทศ และการส่งออก know-how
หากวันหนึ่งที่อินเดียสามารถหลุดพ้นจากความขาดแคลนเหล่านี้ได้ ทั้งเรื่องน้ำ, การศึกษา, การบริโภคในประเทศ ที่เป็นโครงสร้างใหญ่สุดของรากฐานเศรษฐกิจในประเทศ การไต่ขึ้นสู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 หรือ 3 อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็ไม่น่าพลิกโผ
นักวิเคราะห์หลายแห่ง หนึ่งในนั้น คือ World Economic Forum (WEF) ที่ชี้ว่าภายในปี 2030 เศรษฐกิจของอินเดียจะมีขนาดใหญ่แซงหน้าหลายประเทศที่เคยมีบทบาท ขึ้นเป็นอันดับ 3 โดยปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงจำนวนประชากรวัยแรงงานที่ได้เปรียบมากกว่าประเทศอื่น










