เปิดกลยุทธ์ ‘เจี้ยนชา’ ถอดโมเดลปั้นชาน้องใหม่ OH’ POLLY สร้างแบรนด์ให้ดู Global เน้นขยายตามเป้า 1,000 สาขา

เปิดกลยุทธ์ ‘เจี้ยนชา’ ถอดโมเดลปั้นชาน้องใหม่ OH’ POLLY สร้างแบรนด์ให้ดู Global เน้นขยายตามเป้า 1,000 สาขา

ปัจจุบันมูลค่าของตลาดชาทั่วโลกสูงถึง 362 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 11,736 ล้านบาท) ถึงแม้ว่าสตอรี่ของชาจะเดินทางมานานกว่ากาแฟ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 30-40 ปีก่อน แต่ความนิยมของชายังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังดึงดูดให้ผู้เล่นทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่า อยากเข้ามาอยู่ตลอดเวลาด้วย

อย่าง JIAN CHA (เจี้ยนชา) แบรนด์ชาผลไม้สดของคนไทย ก่อตั้งโดย พลอย-พอลลี เฮสันต์’ เกือบ 2 ปีแล้ว ซึ่งคนไทยหลายคนเคยเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ชาผลไม้สดจากประเทศจีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อแบรนด์ และจีนก็เป็นหนึ่งในต้นตำรับประเทศแรกๆ ที่ดื่มสิ่งนี้

TODAY Bizview มีโอกาสได้คุยกับ ‘พลอย-พอลลี’ เธอได้เล่าถึงการวางกลยุทธ์และความตั้งใจอยากเปิดตัวด้วยภาพจำความเป็นแบรนด์ชื่อจีนแบบนั้นแต่แรก เพราะในยุคนั้นคนไทยเริ่มดูและเสพซีรีส์จีน ไม่ใช่เพราะชาผลไม้สดกำลังเป็นสินค้ากระแสเท่านั้น แต่เพราะชื่อแบรนด์ภาษาจีนก็เป็นเทรนด์โลกด้วย

กลยุทธ์แบบนั้นทำให้ตลอด 1 ปี 8 เดือนของ บริษัท เจี้ยนชา จำกัด สร้างรายได้ถึง 78.46 ล้านบาท กำไร 1.8 ล้านบาทในปี 2567 โดยปัจจุบันมีสาขาเกือบ 50 แห่ง

ความสำเร็จที่ถอดโมเดลมาจาก ‘เจี้ยนชา’ รวมกับความสนใจของ พลอย-พอลลี เกี่ยวกับเรื่องของชาทั่วโลก ทำให้เกิดเป็นแบรนด์น้องใหม่ขึ้น ชื่อว่า ‘OH’POLLY’ พัฒนาจากความชอบเรื่องชาของตัวเอง และต่อยอดเรื่องราวของชาที่กำเนิดขึ้นในหลากหลายพื้นที่ของโลก ไม่ใช่แค่ จีน หรือบางประเทศ

[ OH’ POLLY ตัวแทน ‘ชา’ แบบสาวผมบลอนด์ ]

ความหลงใหลในเครื่องดื่มชา พลอย-พอลลี อยากต่อยอดความชอบมาเป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ สร้างแบรนด์น้องใหม่ด้วย story telling จากชาในเอเชียสู่ชาฝั่งยุโรป ซึ่งเริ่มต้นวัฒนธรรมการดื่มชามาตั้งแต่ปี 1662 จากเรื่องราวความรักระหว่าง แคทเธอรีนแห่งบราแกนซา (Catherine of Braganza) เจ้าหญิงแห่งโปตุเกส ที่อภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาร์ลส์ที่ 2 จนเกิดเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า ‘Afternoon tea’ ทุกวันนี้

พลอย-พอลลี เล่าถึงธรรมเนียมการดื่มชาเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ยุโรปจะรู้จัก ‘กาแฟ’ ถ้าเจี้ยนชาคือตัวแทนของชาเอเชีย OH’ POLLY ก็คือ ชาสัญลักษณ์ของผู้หญิงชาวยุโรป ซึ่งทั้งสองแบรนด์โดดเด่นเรื่องชาเหมือนกัน เพียงแต่เป็นการเล่าเรื่องของชา 2 ยุคสร้างความแตกต่างให้ชัดเจน

เธอกล่าวว่า “ชา specialty กำลังจะได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาเลือกการสร้างแบรนด์ ทำธุรกิจในแต่ละครั้ง ต้องพยายามคิดให้เป็นแบบ global brand”

เอกลักษณ์ของ OH’ POLLY ทั้งโลโก้, แพคเกจ จนถึงการตกแต่งร้าน เป็นการเลือกใช้ ‘สีแดงเข้ม’ คล้ายๆ สีไวน์แดง ส่วนหนึ่งเพราะเป็นสีที่แสดงถึงความหรูหรา สีแห่งราชวงศ์ยุโรปในยุคหนึ่ง

“สำหรับพลอยมองว่า OH’ POLLY น่าจะเติบโตง่ายกว่าเจี้ยนชา ซึ่งตอนนี้น่าจะยังไม่มีแบรนด์ไหนที่เป็นคู่แข่งตรงกับเรา”

[ เป้าหมาย 1,000 สาขา ทั้งเจี้ยนชา – OH’ POLLY ]

เจี้ยนชา ในปัจจุบันขยายสาขาไปต่างประเทศแล้ว โดยเริ่มที่ ‘ออสเตรเลีย’ 2 สาขา, สิงคโปร์ 1 สาขา และกำลังจะไป สเปน ในปี 2569

ส่วน OH’ POLLY เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกที่ เซ็นทรัลเวิล์ดไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งใจจะขยายไปตลาดต่างประเทศหลังจากที่เปิดร้านสาขาในไทยได้ 20-30 แห่ง หลังจากนี้ โดยปีหน้าจะเริ่มเห็นการขยายสาขาของ OH’ POLLY ชัดเจนขึ้น

ขณะที่เป้าหมายใหญ่ของ พลอย-พอลลี หลักๆ มีอยู่ 2 เรื่อง ดังนี้

1) ขยายสาขาทั้งสองแบรนด์ให้ได้ 1,000 สาขา ภายใน 5 ปี ซึ่งจะเน้นไปที่ประเทศที่มี GDP สูง เป็นประเทศเทียร์แรกๆ ที่มีศักยภาพในเชิงโลจิสติกส์ เช่น มีพรมแดนติดกับประเทศอื่น หรือมีเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้า

2) อีก 5 ปีข้างหน้าตั้งใจจะเปิด IPO (การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก)ในสหรัฐอเมริกา โดยจะรวมบริษัทเจี้ยนชา และ OH’ POLLY เข้าด้วยกัน และอยู่ภายใต้บริษัทเจี้ยนชา โฮลดิ้ง ที่จดทะเบียนบริษัทในฮ่องกงตั้งแต่วันแรก

พลอย-พอลลี แชร์ว่า เบื้องหลังความคิดที่อยากจะเห็นสาขาแตะ 1,000 แห่ง ทั้งสองแบรนด์ เป็นเพราะทั้งสองแบรนด์ใช้โมเดลธุรกิจเดียวกัน นั่นก็คือ 20% เป็นการลงทุนเอง และ 80% เป็นการเปิดโดยร้านแฟรนไชส์

สำหรับ OH’ POLLY จะเริ่มเปิดขายร้านแฟรนไชส์ครั้งแรก ในเดือนธันวาคมนี้

“เราคิดว่าเราทำได้ดีในเรื่องชา ดูจากการเติบโตของเจี้ยนชา เราเก่งเรื่องการสร้างสแตนดาร์ดให้ธุรกิจ เพื่อให้คนอื่นสามารถซื้อแฟรนไชส์ไปต่อได้”

“พลอยว่า ในตลาดยิ่งมีคู่แข่งเยอะ ยิ่งดี เพราะลูกค้าเองก็จะเกิดการเรียนรู้เยอะขึ้นไปด้วย”

ปัจจุบันสำหรับ OH’ POLLY ที่เปิดตัวมาได้ประมาณ 3 สัปดาห์ เฉลี่ยขายได้ช่วงพีคๆ ราว 300-400 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม เจ้าของแบรนด์ตั้งความหวังว่า อยากจะเห็นฟีดแบ็ก OH’ POLLY ดีมากขึ้น โดยหวังว่ามียอดขายต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 แก้วขึ้นไป

ที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าของทั้งสองแบรนด์เป็นลูกค้า ‘ผู้หญิง’ มากกว่าผู้ชาย ขณะที่เป็นคนไทย 50% และชาวต่างชาติ 50%

สุดท้าย พลอย-พอลลี เฮสันต์ ได้กล่าวย้ำว่า พูดตามความจริงก็คือ ไม่ได้วางเป้าหมายธุรกิจเรื่องรายได้แบบระยะสั้น ระยะยาว เช่น แผน 5 ปี หรือ แผน 10 ปีอะไรแบบนั้น แต่โฟกัสที่ ‘จำนวนร้านสาขา’ รวมไปถึง ความมั่นคงของคุณภาพสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าหลายกลุ่ม เหมือนที่ยุคๆ หนึ่ง เมื่อ 10-20 ปีก่อน ‘ยุคแห่งชานมไข่มุก’ มาแรงในตลาดไทย จนเกิดเป็นเครื่องดื่มขายดีตลอดกาลนั่นเอง

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง