ยุค AI กำลังเปลี่ยนโฉมวิธีที่เราทำงาน เรียนรู้ และสร้างมูลค่า อภิมหาเศรษฐี นักลงทุน และรัฐบาลล้วนให้ความสนใจลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่อง เพราะเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่กลายเป็น ตัวช่วยตัดสินใจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งด้านธุรกิจ การแพทย์ และการศึกษา ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวและเรียนรู้วิธีทำงานร่วมกับ AI เพื่อใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่
ในงานเสวนา SUSTAIN City : AGE of AI พลิกโฉมเมืองใหม่ สร้างทุกสิ่งให้ยั่งยืน จัดโดยสำนักข่าว TODAY ‘อาจารย์เอ้ – ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ นายกสภามหาวิทยาลัย CMKL ได้เจาะลึกถึงการปรับตัวของมนุษย์ ในยุคที่ AI สามารถทำได้เกือบทุกอย่างแล้ว เรายังจำเป็นต้องกังวลอยู่ไหม?

[ AI คือ วิกฤต หรือ โอกาสกันแน่? ]
ปัจจุบันเรียกว่าแทบจะทุกอย่างที่มนุษย์ทำ มี AI คอยช่วย คอยซัพพอทอยู่ข้างหลัง อาจารย์เอ้ ได้ยกตัวอย่างกิจกรรมในชีวิตประจำวันของคนที่ใช้ AI ช่วย ไม่ว่าจะเป็น การทำการบ้าน, เขียนจดหมาย หรือร่างรายงานอะไรก็ตามเดี๋ยวนี้ AI จะช่วยตรวจทาน ตรวจสอบเกือบทั้งหมด
เขาได้พูดถึงความกลัวของใครหลายคนเกี่ยวกับ การแทนที่มนุษย์ของ AI อาจจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม อาจารย์เอ้ กลับมองว่า แม้ว่าสิ่งที่ AI ทำได้อาจมีหลาย บางอย่างทำได้ดี แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ต้องพัฒนา ขณะที่มนุษย์มีเซลล์สมองมากถึง 86,000 ล้านเซลล์
ดังนั้น ไม่มีทางที่ AI จะฉลาดเกินกว่ามนุษย์ แต่ AI จะมีความสำคัญขึ้น สร้างบรรทัดฐานให้มีความสุดโต่งมากขึ้นได้
[ Big data set ช่วยให้ AI ฉลาดขึ้น ]
การจะพัฒนา AI ให้มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์อาจจะต้องใช้การอัปเกรดอีกหลายอย่าง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาช่วยเปลี่ยนแปลงความสามารถของ AI ก็คือ Big data set ต้องมาเป็นเซ็ต มีแค่ data อย่างใดอย่างหนึ่งไม่เพียงพอ
อาจารย์เอ้ กล่าวว่า “ข้อมูลที่ใช้ได้ คือ ต้องมาทั้ง input และ output เพื่อให้ AI จับคู่กันได้ แมชต์กันได้ แต่องค์ประกอบเหล่านั้นมีหลายอย่าง เช่น เสียง, สีหน้า, ท่าทาง, การผัสสัม, แววตา และ สมอง”
“AI จะมีการบันทึกหลายอย่างประกอบกัน เช่น การเดินลักษณ์นี้อาจจะเป็นวิศวกร หรือ การเดินด้วยเท้าซ้ายก่อน ก็อาจจะเป็นทหาร (แต่ไม่เสมอไป) เพียงแต่ข้อมูลเหล่านี้ล้วนประกอบกัน เพื่อให้ AI ฉลาดขึ้น”

หรืออย่างที่ อาจารย์เอ้ ได้ยกตัวอย่าง ก็คือ ทีมวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ในสหรัฐอเมริกา ได้ยอมรับว่าทุกวันนี้เริ่มการบันทึกสมองของมนุษย์ ดังนั้น เราจะไม่มีวันตายจริง เพราะทุกอย่างในสมองได้ถูกจดบันทึกหมด
จากนั้นคนเราสามารถไปช้อปร่างใหม่ แล้วทำการดาวน์โหลดสิ่งที่อยู่ในคลาวด์อีกครั้ง แน่นอนว่า ในอนาคตมนุษย์อาจจะไม่ได้ตายจริงๆ อย่างทุกวันนี้ หากสิ่งเหล่านี้สำเร็จ
[ AI เข้าสู่ยุค จักรวาลสุดโต่ง ]
จากที่เล่ามาทั้งหมด ทั้งความเร็ว ความฉลาด และความสะดวกในการอัปเกรดข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ AI ฉลาดขึ้น ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร และอะไรคือสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้ AI มีบทบาทมากขึ้นในโลกปัจจุบัน
รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศอัดฉีดงบประมาณกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนา AI ประกาศความเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในเวลา
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออก Action Plan เกี่ยวกับ AI ด้วย เพื่อทำให้อเมริกาเข้าสู่ยุคทองของโลกเทคโนโลยีอย่างเต็มที่
ฝั่งของอภิมหาเศรษฐีอย่าง ‘อีลอน มัสก์’ ที่เคยประกาศจะฟ้อง ChatGPT ด้วยเหตุที่ว่า OpenAI และ Apple สมคบกันผูกขาดตลาด AI บน App Store ทำให้ AI ของบริษัทเขาเสียเปรียบในการแข่งขัน ทั้งที่เขามี AI ที่ฉลาดที่สุดในโลก
ขณะที่ฝั่งรัฐบาลจีนก็ไม่แพ้กัน เพราะไม่ได้มอง AI เป็นแค่เทคโนโลยี แต่เป็นเครื่องมืองพัฒนาประเทศ หลักสูตรใหม่สำหรับเด็กในปัจจุบันต้องเรียนเรื่อง AI โดย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ประกาศจัดตั้งกองทุนการศึกษามูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาท เพื่อทำให้การศึกษาของเด็กจีนเข้าถึง AI ทุกคน
ดังนั้น ไม่ผิดที่จะพูดว่า ตอนนี้เรากำลังเข้าสุ่ยุค จักรวาล AI แบบสุดโต่ง เพราะอะไรๆ ก็ต้อง AI แม้แต่นักลงทุนที่ฉลาดที่สุด, มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด และคนที่มีอำนาจที่สุด อย่างที่ยกตัวอย่างมา ทุกคนล้วนมุ่งความสนใจไปที่ AI ทั้งสิ้น
[ อนาคต AI กับ มนุษย์ต้องทำงานร่วมกัน ]
อาจารย์เต้ ได้สรุปใจความสำคัญเกี่ยวกับ AI ว่าจริงๆ แล้วอนาคตของ AI ไม่ใช่การเข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่บทบาทที่เพิ่มขึ้นเราจะเห็นการทำงานร่วมกันระหว่าง AI กับ มนุษย์ชัดเจนเป็นปัญญาร่วม
“ผมไม่อยากเรียกว่า AI อยากเรียกว่า Co-intelligence เพราะ AI ยังไม่สามารถทำงานตามลำพังได้ แม้ว่าจะทำงานได้ดีอยู่แล้ว”

โดย 3 สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในยุคของ AI เข้ามามีบทบาท ก็คือ
- คนรวยจะทำเรื่องอวกาศมากขึ้น
- AI of things ไม่ว่าจะสร้างสรรค์อะไรก็จะมี AI เสมอ
- เทรนด์ Medical Intelligence เพราะคนรวย, คนเก่ง ต่างก็กลัวความตาย อยากอายุยืน ดังนั้น AI ในด้านนี้มีโอกาสที่จะเข้ามาแทนที่หมอ (ในพาร์ทเล็กๆ ที่ไม่ต้องถึงมือหมอ)
อาจารย์เอ้ ย้ำว่า คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อย่างมหาวิทยาลัย CMKL (คาร์เนกีเมลลอน-พระจอมเกล้าลาดกระบัง) ที่กำลังจะสร้างศูนย์ CNAI ศูนย์ที่วิจัยเกี่ยวกับสมองแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุผลที่ว่า สมองคือจักรวาลของมนุษย์ แต่ทุกวันนี้เรารู้จักสมองน้อยมาก ไม่ถึง 1% จึงรักษาโรคด้านสมองหลายโรคได้น้อย
สุดท้ายการพัฒนาและการลงทุนเกี่ยวกับ AI ทุกวันนี้ เพื่อ 2 สิ่งเท่านั้น ก็คือ งานที่ใช้ความแม่นยำสูง และเพื่อทำให้บางอย่างถูกลง และทุกคนสามารถใช้ได้เท่าเทียมกัน เขายืนยันว่า AI ยังต้องพึ่งพาความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ดังนั้น ไม่มีทางที่จะทดแทนมนุษย์ได้ แต่จะเกิดเป็นปัญญาร่วม และช่วยคนที่ฉลาดใช้ AI เติบโตได้ไกลกว่าเดิม










