เศรษฐกิจของอังกฤษในปี 2566 แม้จะผ่านปีมาได้โดยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตัวเลขก็ฟ้องว่าไม่ได้ขยายตัว ยังอยู่บนความเสี่ยงที่อาจจะไม่เติบโตนักในปี 2567
ถ้าเราดูสถานการณ์ความเสี่ยงของเศรษฐกิจอังกฤษ เทียบกับเมนูอาหารยอดฮิตประจำชาติอย่าง ‘ฟิชแอนด์ชิปส์’ Fish and Chips หรือ ‘ปลาชุบแป้งทอดกับมันฝรั่งทอด’ ที่เป็นเมนูคู่คนอังกฤษมานานร้อยกว่าปีและมีขายอยู่ทั่วไป ก็กำลังเผชิญความเสี่ยงมานานนับปีเช่นกัน เพราะเมนูฟิชแอนด์ชิปส์ ปรับราคาสูงขึ้นเกินกว่าที่บางคนจะยินดีจ่ายให้กับอาหารจานด่วนมื้อสบายๆ นี้ได้
ผลกระทบจากวิกฤตค่าครองชีพได้ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานที่อยู่เบื้องหลังเมนูประจำชาติอังกฤษจานนี้ได้อย่างไร
สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ระบุว่า ราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น กลายเป็นต้นทุนของชาวประมงที่จะออกไปจับปลา ส่วนน้ำมันดอกทานตะวันที่ใช้ทอดปลาและค่าพลังงานที่ใช้ทอดปลาก็ล้วนพุ่งขึ้น เป็นผลมาจากสงครามในยูเครนที่ยังยืดเยื้อกระทบต่อต้นทุนฟิชแอนด์ชิปส์เมนูใกล้ตัวคนอังกฤษ เพราะยูเครนเองก็เป็นประเทศผลิตน้ำมันดอกทานตะวันรายใหญ่
ส่วนต้นทุนน้ำมันดีเซลที่ใช้เป็นพลังงานให้เรือหาปลาพอมีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ปลาที่จับมาได้อย่างปลาค็อดที่เคยขายในราคา 2-3 ปอนด์ต่อถุง (ประมาณ 2 ดอลลาร์) ตอนนี้ปรับราคาขายมาเป็น ตัวละ 2-3 ปอนด์แล้ว
องค์กร ‘สหพันธ์ผู้ประกอบธุรกิจปลาทอดแห่งชาติ’ The National Federation of Fish Friers หรือ NFFF ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1913 มีหน้าที่ปกป้องดูแลสมาชิกในเครือข่ายธุรกิจฟิชแอนด์ชิปส์มาอย่างยาวนาน คาดการณ์ว่าสถานการณ์แบบนี้จะทำให้ 1 ใน 3 ของร้านฟิชแอนด์ชิปส์ในสหราชอาณาจักรที่มีอยู่ 10,500 แห่ง อาจต้องปิดตัวลง ขณะที่บริษัท Sarson’s ซึ่งผลิตน้ำส้มสายชูที่ใช้เสิร์ฟกินคู่กับปลาทอดก็ประเมินไปในทิศทางเดียวกัน
ประธานสหพันธ์ผู้ประกอบธุรกิจปลาทอด กล่าวว่า ทุกปีชาวอังกฤษรับประทานเมนูฟิชแอนด์ชิปส์ มากกว่า 382 ล้านออเดอร์ แต่ด้วยราคาต้นทุนวัตถุดิบกำลังคุกคามธุรกิจที่เป็นอาหารหลักของคนอังกฤษ (ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์)
แม้ราคาพลังงานจะเริ่มลดลง แต่ส่วนผสมในการปรุงเมนูยังคงสูงและกระทบต่อต้นทุน ทั้งต้นทุนราคาปลาและต้นทุนมันฝรั่ง ที่ตอนนี้ราคาขายมันฝรั่งต่อหนึ่งกระสอบสูงกว่าที่เคยซื้อก่อนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนถึง 2 เท่า
ส่งผลให้เจ้าของร้านอาหารฟิชแอนด์ชิปส์ ต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม 30-40% และแน่นอนว่าเมนูก็ต้องปรับราคาขึ้นตาม ราคาปลาค็อดและมันฝรั่งทอดหนึ่งจานที่ขายในร้านบางแห่งขยับมาแตะ 14.90 ปอนด์ (ประมาณ 18 ดอลลาร์) ทำให้ลูกค้าที่กำลังมองหาเมนูกินง่ายสบายกระเป๋า กลับกลายเป็นเข้าถึงอาหารประจำชาติได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตามมีหลายร้านที่พยายามจะไม่ขึ้นราคาให้สูงมาก แต่เลือกจะใช้วิธีรัดเข็มขัดประหยัดต้นทุนทางอื่นแทน เช่น ลดเวลาจ้างงานพนักงานในร้านลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย กลายเป็นกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ของพนักงานร้านที่ลดลงไปอีก
ปัญหาที่ห่วงว่าร้านฟิชแอนด์ชิปส์หลายร้านเสี่ยงที่จะปิดกิจการจากภาวะต้นทุนพุ่ง ถูกพูดถึงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเงินเฟ้อ การแพร่ระบาดโควิด-19 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ตลอดหลายเดือนมานี้ บรรดาคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจร้านอาหารและห่วงโซ่อุปทานของ ฟิชแอนด์ชิปส์ ได้รวมตัวกันผลักดันแคมเปญ ‘Save the Chippies’ เรียกร้องให้ลูกค้าสนับสนุนร้านฟิชแอนด์ชิปส์ในท้องถิ่นของตัวเองต่อไปแม้ว่าเมนูนี้จะมีราคาแพงขึ้นกว่าเมื่อก่อนก็ตาม รวมไปถึง Sarson’s ผู้ผลิตน้ำส้มสายชูกินคู่กับปลาทอดก็เปิดตัวโปรโมชัน Fryday เพื่อคืนเงินให้กับลูกค้า 50 รายแรกในทุกวันศุกร์ที่ซื้อฟิชแอนด์ชิปที่ทางแบรนด์โปรโมทบนโซเชียลมีเดีย
ทั้งหมดเป็นความพยายามตลอดหลายเดือนมานี้ที่จะช่วยกันพยุงธุรกิจฟิชแอนด์ชิปส์ ที่ขายเมนูประจำชาติให้อยู่ต่อไปได้ ไม่ปิดร้านล้มหายตายจากไป รวมไปถึงยังช่วยให้ชาวประมงท้องถิ่นยังคงมีอาชีพจับปลาส่งขายอยู่รอดได้เช่นกัน แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเศรษฐกิจของอังกฤษก็ยังอยู่ในความเสี่ยง










