‘Pacamara’ ธุรกิจที่เริ่มจากร้านรถเข็น กับเงินลงทุน 30,000 บาท สู่ธุรกิจกาแฟ 700 ล้านบาท

‘Pacamara’ ธุรกิจที่เริ่มจากร้านรถเข็น กับเงินลงทุน 30,000 บาท สู่ธุรกิจกาแฟ 700 ล้านบาท

หากพูดถึงกาแฟสเปเชียลตี้แบบพรีเมียมที่มีทั้งโรงคั่วและโรงงานแปรรูปของตัวเอง หนึ่งในร้านที่เติบโตขึ้นในยุคแรกๆ หลายคนน่าจะนึกถึง ‘Pacarama’ แบรนด์ร้านกาแฟที่เกิดจาก ‘นักชิมกาแฟคนแรก’ ในประเทศไทย ‘ซาน-ชาตรี ตรีเลิศกุล’ ผู้ก่อตั้ง Pacamara Coffee Roasters และ Deepbrew Coffee Machines

ในงาน Restech Taste The Future & ตั้งตัว Franchise and Investment 2025 เขาได้เปิดประโยคที่น่าสนใจไว้ว่า “ตลาดกาแฟการแข่งขันดุเดือดก็จริง แต่ถ้าเราเข้าใจ และมองให้ลึก ก็จะเห็นว่าตลาดมันยังโตได้อีก เพราะแบรนด์ใหม่ๆ ที่เข้าตลาดก็ยังเติบโตกันขึ้นเรื่อยๆ”

ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งได้พูดถึง ‘อุตสาหกรรมกาแฟไทย’ ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่คนไทยเองก็มีพฤติกรรมการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี จากเดิมเฉลี่ยที่ 180 แก้วต่อคนต่อปี

จึงทำให้มูลค่าตลาดในประเทศแตะระดับ 65,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 8.33%

นอกจากนี้ การจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ก็เพิ่มขึ้นเกือบ 9.0% สะท้อนให้เห็นความนิยมของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองว่ากาแฟเป็นทั้งไลฟ์สไตล์และธุรกิจที่สร้างโอกาส

สำหรับ Pacamara ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นนักชิมกาแฟคนแรกของประเทศ ทั้งที่เดิมทีไม่ได้ชอบดื่มกาแฟ ในวันนี้เขาปลุกปั้นแบรนด์ให้มีรายได้แตะ 712 ล้านบาทในปี 2566 ได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

[ ความตั้งใจแรกคือ เปิดร้านรถเข็นแล้วมีสาขาเยอะ ]

ย้อนไปกว่า 20 ปีก่อน คำว่า ‘กาแฟคั่วบด’ เป็นคำที่ใหม่มากสำหรับประเทศไทยในสมัยนั้น บวกกับการที่ ซาน-ชาตรี มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียน และหลงเสน่ห์บรรยากาศของร้านกาแฟที่นั่น vibe ของตัวร้าน และกลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟในร้าน

ทำให้เขาใฝ่ฝันตั้งแต่ตอนนั้นว่า ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสได้ทำธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากจะมีร้านกาแฟที่บรรยากาศพิเศษแบบนี้สักครั้ง เพราะในไทยตอนนั้นแทบไม่มี หรือน้อยมากๆ

ซาน-ชาตรี เล่าว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบรสชาติของกาแฟ ซึ่งครั้งแรกที่ได้ลองชิมกาแฟคือตอนไปต่างประเทศ แล้วเห็นว่าเครื่องดื่มที่ชื่อว่า ‘เอสเพรสโซ’ มีราคาถูกที่สุดในร้าน ถูกกว่าน้ำส้มคั้น แต่รสชาติสำหรับเขาในตอนนั้น ‘เลวร้ายที่สุด’ ในชีวิตเท่าที่เคยดื่มมา

แต่ด้วยมนต์เสน่ห์ของร้าน บรรยากาศโดยรวม ทำให้เขาปักใจว่าอยากจะลองเปิดร้านดูสักครั้ง ด้วยการฝึกชงกาแฟให้อร่อย และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเงินลงทุนก้อนแรก 30,000 บาท ที่ได้ไปขอยืมจากคุณแม่เพื่อมาเปิดร้านกาแฟรถเข็น

“ผมใช้เวลาฝึกชงกาแฟเป็นปีๆ ซื้อเครื่องชงมาแล้วฝึกอยู่แบบนั้น จนมั่นใจแล้วเปิดร้านรถเข็น ตั้งชื่อว่า ‘ซานน่า’ จนวันหนึ่งก็มีโอกาสขยับเข้าไปขายข้างในโลตัส ขายได้ประมาณ 1 ปีกว่า”

จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนชวนไปเปิดร้านกาแฟที่ ปตท.สำนักงานใหญ่ นั่นเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่ทำให้จริงจังเรื่องธุรกิจร้านกาแฟมากขึ้น ไม่ใช่แค่ชงให้อร่อย แต่ปัจจัยโดยรวมอื่นๆ ประกอบกัน

ร้านกาแฟที่ชื่อว่า ‘Pacamara Coffee Roasters’ ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 18 มีนาคม 2554 และสาขาแรกเปิดที่ถนนคนเดิน บริเวณคูเมืองชั้นใน จ.เชียงใหม่ ซึ่งคอนเซ็ปต์ชัดตั้งแต่ตอนนั้นก็คือ คุณจะได้ลิ้มรสกาแฟจากหลากหลายแหล่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะคอนเนคชั่นของ ซาน-ชาตรี ตั้งแต่สมัยที่เริ่มฝึกหัดเป็นนักชิมกาแฟ และกรรมการตัดสินหลายๆ เวที ทำให้เขารู้จักคนค่อนข้างเยอะ และนั่นเป็นเหตุผลที่สามารถนำเข้าเมล็ดกาแฟได้มาก

ปัจจุบัน Pacamara มีทั้งหมด 32 สาขา เป็นธุรกิจในเครือของ OR ซึ่งเข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ปี 2020 อยู่ที่ 81% (เพิ่มจาก 65%) ในนามบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด

[ ปัจจัยที่ต้องมีถ้าอยากทำธุรกิจร้านกาแฟรอด ]

จากบทเรียนของ ซาน-ชาตรี จากการทำธุรกิจกาแฟ เขาแนะนำว่า ทำธุรกิจจากแพชชั่น หรือความเชี่ยวชาญอย่างเดียวไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะรู้ลึก รู้จริงมากแค่ไหนก็ตาม แต่ต้องมีความรู้เรื่องการบริหารจัดการร้าน วัตถุดิบ คน บัญชี รวมถึงมาร์เก็ตติ้งด้วย

“การทำธุรกิจมันคือการมองให้รอบด้านที่สุด แม้ว่าคุณจะเปิดแค่ร้านเล็กๆ ก็ตาม”

เขาได้สรุปสิ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องนึกถึง มีอยู่ 3 เรื่องหลัก เป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็น ได้แก่

  1. ของต้องดีจริง หมายถึงวัตถุดิบที่ใช้ต้องดี มีคุณภาพ และรสชาติดี
  2. ทำเล อาจจะไม่ใช่ทำเลทอง แต่เป็นโลเกชั่นที่คนไม่ต้องตั้งใจไปมากขนาดนั้น อยู่ในจุดที่ผ่านแล้วแวะได้
  3. ความสม่ำเสมอ ทั้งเรื่องรสชาติ การบริการ และการเปิดร้าน

สำหรับแบรนด์ Pacamara ในปัจจุบัน อาจจะไม่ใช่ร้านกาแฟที่มีสาขาเยอะที่สุด แต่ถ้าถามถึงร้านกาแฟสเปเชียลตี้ที่คนจะนึกถึงอันดับแรกๆ ต้องมีร้านนี้อยู่ในลิสต์ นั่นคงเป็นคำตอบว่า ทำไม OR ถึงสนใจธุรกิจนี้ และเข้าไปเพิ่มการถือหุ้นจากวันแรก

ปัจจุบันผลประกอบการของ Pacamara หรือบริษัท พีเบอร์รี่ ไทย จำกัด ย้อนหลัง 4 ปีจะเห็นว่ารายได้และกำไรของ Pacamara อยู่ในจุดที่อาจจะเริ่มติดลบ 2 ปีหลัง ซึ่งทางแบรนด์ก็พยายามแก้เกมธุรกิจนี้อยู่

  • ปี 2564 รายได้ 321 ล้านบาท ขาดทุนเกือบ 22 ล้านบาท

  • ปี 2565 รายได้ 474 ล้านบาท กำไร 14.4 ล้านบาท

  • ปี 2566 รายได้ 712 ล้านบาท กำไรเหลือ 14 ล้านบาท

  • ปี 2567 รายได้ 856 ล้านบาท กำไรเหลือ 3.8 ล้านบาท

เพื่อเป็นการแก้เกมให้ธุรกิจกลับมามีกำไร กลยุทธ์ของ Pacamara ของปี 2568 มุ่งไปที่การขยายสาขา โดยตั้งเป้าอยู่ที่ 8-10 สาขา เน้นที่ตลาดในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวในไทย เพื่อทำให้ brand awareness ติดตลาดมากขึ้น ในยุคที่คอกาแฟเข้าใจคำว่า สเปเชียลตี้อย่างไม่มีข้อกังขา

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง