คนในแวดวงตลาดทุน ไม่มีใครไม่รู้จัก “จิ๋ม-สุวภา เจริญยิ่ง” ที่ปรึกษาคณะกรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
เพราะเธอได้รับฉายาว่า “หมอทำคลอดแห่งวงการตลาดทุน“ พาบริษัทใหญ่ๆ แปลงกลายเข้าสู่ตลาดหุ้นนับร้อยบริษัท
เป็น “กูรูการเงิน” แห่งสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย และยังเป็นกรรมการบริษัทอีกหลายแห่ง
เส้นทาง “นักการเงิน” ของเธอ ไม่ธรรมดา เริ่มต้นที่ธนาคารกสิกรไทยในฝ่ายต่างประเทศ ส่วนงาน Corporate Finance จากนั้นถูกดึงไปทำงานในสายวาณิชธนกิจ หรือ IB (Investment Banking)
เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชโรเดอร์ ด้วยวัยเพียง 33 ปี ต่อมาเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน)
ในวัยที่ยังไม่เกษียณ เธอเคยมีเป้าหมายว่า ตอนอายุ 60 เธอจะเขียนหนังสือ 40 ปี ในวงการการเงิน ดังนั้น เมื่ออายุครบ 60 เธอจึงมีอีกหนึ่งตำแหน่งคือ “นักเขียน”
ในฐานะที่เป็น “กูรู” การเงิน อยู่กับแวดวงการลงทุนมา 4 ทศวรรษ เมื่อขอคำแนะนำสำหรับมือใหม่ในการลงทุน “จิ๋ม-สุวภา” ถามกลับว่า แบ่งเงินในชีวิตคุณยังไง?
มีเงินอยู่ 3 ก้อนอันแรก 1.ซื้อของจำเป็นที่ต้องใช้ คือ Needs 2. ซื้ออยากได้ของที่อยากได้ คือ wants 3.คือสำหรับลงทุน investment
วันนี้มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แบ่ง 3 ก้อนนี้อย่างไร สิ่งที่มักจะได้ยินคือ แค่ใช้ needs ก็เงินหมดแล้ว และถ้าเงินเหลือก็ซื้อของที่อยากได้ ใช้เงิน 1 กับ 2 ก็หมดแล้ว ไม่เคยกลับมา 3 คือ ลงทุนได้เลย
ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาถึงการมีวินัย เก็บเงิน 1 ล้าน ต้องลงทุนเท่าไหร่ถึงจะได้เป้าตามนี้ อดใจหน่อย อดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดวันนี้เพื่อในอนาคตที่จะดีกว่านี้
“จิ๋ม-สุวภา” แนะนำว่า ถ้าอายุน้อยๆ แน่นอนเรื่องหุ้นดีที่สุดเพราะว่า อาจถูกยืนยันมาทุกตำรา การลงทุนในหุ้น สุดท้ายให้ผลตอบแทนสูงสุดเสมอ แต่…
แต่ไม่ทุกคนที่เหมาะกับหุ้น เพราะบางคนอาจจะรับเรื่องความเสี่ยงการขาดทุนไม่ได้
“บางคนไม่มีเวลาศึกษา ไม่รู้เลยซื้อหุ้นบริษัทนี้ เช่น หุ้นของ AOT ถูก แต่ขอโทษกรรมการผู้จัดการ AOT ชื่ออะไร ยังไม่รู้เลย ยอดขายเท่าไหร่ เขาเคยราคาหุ้น 70 บาทต่อหุ้น แต่วันนี้เหลือ 35 บาท เป็นเพราะอะไร และในอนาคตจะกลับขึ้นไปที่ราคาเท่าไหร่”
“นึกสภาพวันนี้จะซื้อเสื้อสักตัว ยังลองไหม ยังดูสีไหม คือความเป็นเจ้าของ เสื้อตัวนั้นยังแค่หลักพัน หลักร้อย แต่หุ้นซื้อครั้งหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสน จะยอมไปลงทุนที่ตัวเองไม่รู้เลยได้อย่างไร
“ดังนั้น ต้องรู้ทุกอย่าง ลงทุนหุ้นเพื่ออะไร อยากได้ผลตอบแทนปีละเท่าไหร่ แล้วไม่ได้อย่างนั้นคุณจะทำยังไง เช่น กะว่าจะได้ผลตอบแทนปีละ 20% แต่กลับขาดทุน 20% จะ cut lose หรือไปต่อ ถ้าคิดแบบนี้ได้ชนะแน่นอน”
[ หุ้นไทยในวันไม่เห็นอนาคต ]
ในสภาวะที่ตลาดทุนไทย แทบไม่เห็นอนาคต นักลงทุนหลายคนหันไปลงทุนตลาดเวียดนาม หรือ ประเทศอื่นๆ “จิ๋ม-สุวภา” มองว่า เป็นเพราะคนไม่เชื่อมั่นอนาคตประเทศ แต่อีกด้านหนึ่ง เธอก็เห็นมุมต่าง
“ถ้าถอยออกมามองจริงๆ ก็คือจังหวะที่น่าสนใจในการลงทุนหรือไม่ มีหลายบริษัทที่หุ้นถูกมาก ดังนั้น ถามตัวเองว่าถ้าสมมุติใน 3 ปี ข้างหน้าบริษัทไหนที่สามารถยืนระยะอยู่ได้ยังมี Growth อยู่ได้ ยังเติบโตอย่างแข็งแรงได้ ยังมีความเชื่อว่าหุ้นไทยยังมีโอกาสตลอดเวลา”
เธอบอกว่า การลงทุนกับหุ้น มีความสนุกอยู่ 2-3 เรื่อง ถ้ามันเป็นช่วงธุรกิจที่ดี จะมีช่วงขึ้นๆ ลงๆ ของมัน ชอบตรงนี้ค่อนข้างมาก มีบัญญัติง่ายๆ คือ
1. ถ้าชอบบริษัทไหน จะมอง growth ว่าบริษัทนี้มีโอกาสเติบโตไปในทิศทางไหน และแข็งแรงไหม เพราะราคาหุ้นจะขึ้นได้ก็คือต้องโต
2.ต้องดูว่าบริษัทนี้เก่งด้านไหน เขาเป็นสุดยอดในสิ่งที่เขาเก่งไหม เช่น เวิร์คพอยท์ อันดับหนึ่งเกมส์โชว์ แอร์เอเชีย อันดับหนึ่งสายการบินโลว์คอสต์ หรือ แลนด์แอนด์เฮาส์ อันดับหนึ่งอสังหาริมทรัพย์
3.ดูเรื่อง management ดูผู้คนในบริษัทเขาเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถไหม ดูความเก่งกาจ มี knowhow knowledge
4.ดูสถานะทางการเงิน มีกำไรสม่ำเสมอ แน่นอนหนี้น้อยก็จะดีมาก สำหรับคนที่ดูงบการเงินไม่เป็นสามารถไปอ่านบทวิเคราะห์ของพวกโบรกเกอร์ หรือ Jitta Wealth ซึ่งจะมีรายละเอียดในการวิเคราะห์ หรือเข้าไปที่เว็บของตลาดหลักทรัพย์ จะสรุปหน้าตาให้เห็นแต่ละตัว เราก็ลองเปรียบเทียบดู ยิ่งวันนี้มี AI ให้ AI ช่วยวิเคราะห์เปรียบเทียบได้
5.ในวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยน ดังนั้น ต้องดูนวัตกรรมในบริษัท หรือ การทรานส์ฟอร์มเรื่องดิจิทัลเป็นอย่างไร
6.เรื่องธรรมาภิบาล ซื่อตรง มีการจัดการที่ดี
เป็น 6 ข้อ ที่ใช้ในการเลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่น่าสนใจ
“อุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรมน่าสนใจหมด แต่การลงทุนหุ้น เหมือนซื้ออนาคต เมื่อไหร่ที่ไม่ชัวร์อนาคตก็ไม่มีใครพร้อมที่จะเอาเงินมาลง และเวลาหุ้นตก เหมือนเวลามีดหล่นไม่มีสิทธิเอามือไปรับ ต้องรอให้มีดกระแทกพื้นก่อนแล้วค่อยคว้ามีดขึ้นมา”
“แม้มีคนกล้าเอามือไปรับ ก็ปรบมือให้คนกล้าไป แต่การลงทุนในหุ้นต้องเป็นเงินเย็น ต้องไม่มีความเดือดร้อนจากเงินก้อนนี้ ไม่ใช่เห็นคนอื่นซื้อ ก็จะตามเขา เห็นเขากำไร 20 คุณนึกว่ากำไร 20 มันไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“แล้วคนที่ลงในตลาดหุ้น ซื้อนาทีนี้ก็ขาดทุนแล้วแม้ราคาไม่ไปไหน เพราะคุณต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น ต้องเข้าใจบริบทของมันที่สุด”
“เรื่องการลงทุนมันไม่ใช่เรื่องหุ้นอย่างเดียว บางคนลงลงทุนซื้อแบรนด์เนมไปขายก็ขายได้ บางคนลงทุนพระเครื่อง บางคนลงผ้า บางคนไปเปิดร้านเล็กๆ ขายผัดไท คือการลงทุนหมด แต่ถ้าลงทุนคือคุณต้องรู้ว่าคุณอยากได้อะไรจากการทำสิ่งนี้ มีเป้าหมายจะได้สักวันเท่าไหร่ นี่คืออาจจะเป็นอาชีพหรือไม่ใช่ มันก็จะอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเป็นอะไร”
แต่ถ้าถามถึงกฎมหัศจรรย์ 72 อันเป็นตัวเลขที่คนวางแผนทางการเงินไว้ใช้ยามเกษียณ ทดสูตรนี้เป็นเป้าหมายในใจ คงเห็นผ่านตาอยู่ไม่มากก็น้อย
“จิ๋ม-สุวภา” อธิบาย กฎ 72 ให้เข้าใจอย่างง่าย ว่า ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาท ลงทุนได้ 10% ต่อปี ถ้าต้องการมีเงินเพิ่มมาอีก 1 ล้าน ก็ต้องลงทุน 10 ปี เพราะ 10% จะได้ปีละ 1 แสน
แต่จริงๆ แล้วมีคำว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” สมมติว่าปีหนึ่งลงทุน 1 ล้าน ได้ดอกผลมา 1 แสน ปีที่ 2 มันไม่ใช่ล้านแล้ว แต่เป็น 1,100,000 ปีที่ 3 ก็เป็น 1,200,000
วิธีการ 72 คือการคำนวณแบบ “ดอกเบี้ยทบต้น” โดยที่เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 เท่ากับ 7.2 หมายถึงว่ามีเงิน 1 ล้าน วันนี้ลงทุน 10% ต่อปี แล้วให้ดอกเบี้ยนั้นทบต้น เงินนี้จะกลายเป็น 2 ล้านในระยะเวลา 7.2 ปี
ถ้าสมมุติลงทุนได้ 20% ต่อปี 1 ล้านก็จะกลายเป็น 2 ล้าน ในระยะเวลา 3.6 ปี ประมาณนี้จริงๆ
แต่ในขณะเดียวกัน มี 1 ล้าน ลงทุน 1% ต่อปี เงินนี้จะกลายเป็น 2 ล้าน ใช้เวลา 72 ปี มันโหดขนาดนั้น
“และถ้าลงทุนได้ 50 สตางค์ต่อปี เงิน 1 ล้าน จะกลายเป็น 2 ล้าน ในเวลา 144 ปี คือที่บอกว่าอย่าหมิ่นดอกเบี้ยน้อยหรือหมิ่นต่างๆ สิ่งที่อยากจะบอกทุกคนคือ มีนิยาม 10% ต่อปีควรจะเป็นอะไรที่ทำได้เพื่อ 7.2 ปี เงินนี้คุณจะทบต้นแล้วมันจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณมี 2 ล้านคุณจะกลายเป็น 4 ล้านในระยะเวลาที่เร็วขึ้นจะกลายเป็น 8 ล้านในระยะที่เร็วขึ้น จาก 16 ล้านในเวลาที่เร็วขึ้นทันที”
