“รอบนี้หลังจากมีมาตรการออกมา ผู้ประกอบการส่วนมาก็ด่ากันระงมเลยว่าอีกแล้วหรอ เป็นเราอีกแล้วหรอที่ต้องรับผลกระทบจากการออกมาตรการที่ไม่ยุติธรรม ไม่แฟร์ ไม่จริงใจเลย แล้วยังไม่มีการเยียวยา ไม่มีมาตรการช่วยเหลือ”
ต่อ-ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเพนกวินอีทชาบู กล่าวกับ TODAYBizview เมื่อเราโทรไปสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการคำสั่งห้ามนั่งรับประทานในร้านอาหาร 30 วัน พร้อมให้ทัศนะถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
“ผมคิดว่าในรอบนี้จะมีร้านอาหารต้องปิดตัวลงไปอีกมาก ด้วยยอดขายจากเดลิเวอรี่ไม่มีทางที่จะแบกรับต้นทุนทั้งหมดได้ไหว ยิ่งหลังจากครบ 1 เดือนนี้คิดว่าคงมีร้านอาหารจำนวนมากที่ไปต่อไม่ไหวคงต้องปิดตัวถาวร เพราะนี่ไม่ใช่รอบแรกที่ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องเจอแบบนี้”
“จริงๆ แล้วผมว่ามันน่าจะมีมาตรการอะไรที่ดีกว่านี้ และไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ลองดูจากสถิติผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ส่วนใหญ่มันมาจากการทำงานเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า ตรวจพบผู้ติดเชื้อในโรงงาน แต่โรงงานไม่ต้องถูกปิด คนถูกปิดกลับมาโดนเป็นร้านอาหาร”
นอกจากนั้น ต่อยังอธิบายว่า ตอนนี้มาตรการเยียวยาที่ออกมาก็ไม่เพียงพอ ร้านอาหารส่วนใหญ่ 90% ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม แล้วเงินเยียวยาจากภาครัฐให้กับกลุ่มพนักงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม กำหนดไว้ว่าจะช่วยแค่ 30 วันกับเงินชดเชยแรงงาน 2 พันบาทเท่านั้น
“แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย เขาจะพอกินไปอีกกี่วันกี่สัปดาห์”
โดย ต่อ เสริมว่า จริงๆ แล้วมันควรจะช่วยในเชิงโครงสร้างมากกว่าว่าต้นทุนของร้านอาหารมันอยู่ตรงไหน หนึ่ง พนักงาน สอง ค่าเช่าที่ ที่ผ่านมาที่ประกาศปิดมาหลายครั้งไม่เคยได้รับการเยียวยาเลยทั้งสองอย่าง มารอบนี้ก็เยียวยาพนักงานแค่ 30 วันเท่านั้น แล้วรอบที่ผ่านๆ มาที่ร้านอาหารแบกรับต้นทุนตรงนั้นไว้ แต่ไม่ได้รับการเยียวยาจะเป็นอย่างไร
“ในหลายประเทศภาครัฐเขามีคำสั่งให้แลนด์ลอร์ดช่วยลดค่าเช่าที่ให้โดยกำหนดเป็น % เลยว่าต้องลดให้กับร้านค้าเท่าไร บางประเทศเรียกแลนด์ลอร์ดมาต่อรองราคาให้เลย แล้วต่อไปจะช่วยแลนด์ลอร์ดยังไง ชดเชยด้วยมาตรการภาษีในรอบภาษีถัดไปไหมค่อยมาว่ากันต่อ”
“ที่ผ่านมาก็มีตัวแทนร้านอาหารเข้าไปคุยบ้าง ไม่รู้ว่ามีเงื่อนไขอะไรถึงไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร เคยมีหนังสือเรียกร้อง เคยส่งข้อมูลไป แต่พอเข้าไปมันก็ไม่ถูกนำมาร่วมพิจารณา และการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารของรัฐไม่ได้เป็นการทำงานเชิงรุก ไม่ได้เชิญผู้ประกอบการเข้าไปพูดคุย แต่เป็นการรอให้คำสั่งออกมาก่อน แล้วผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเดินเข้าไปขอคุยเอง”
“ที่ผ่านมาแค่ค่าสาธารณูปโภคอย่างค่าน้ำหรือค่าไฟ เราก็ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ เราขายเดลิเวอรี่ก็จริง แต่เราก็ยังต้องเสียบปลั๊กตู้เย็นรึเปล่า เราเสีย Vat ตลอดแต่ไม่ได้รับการดูแลเลย พอมาอยู่ในระบบนี้เราก็ต้องช่วยกันเองไป”
“ตอนนี้ทุกคนที่ยังสู้อยู่ก็ได้แต่ปรับตัวตามยถากรรม เพราะตอนนี้มันหมดแล้ว ทั้งหมดมุกและหมดเงิน ต้องบอกว่าเราจะทำอะไรสักอย่างมันต้องมีทั้งดีมานด์และซัพพลาย รอบนี้มันแตกต่างจากรอบที่ผ่านๆ มา ผู้บริโภคเองก็ไม่ไหวแล้ว เราทำไปก็ไม่มีซัพพลายแล้ว เพราะผู้บริโภคเองก็ไม่เหลือเงินแล้ว ต้องเก็บเงินเอาไว้แล้วเหมือนกัน”
ต่อทิ้งท้ายว่า “สำหรับเพนกวินเองต้องปรับตัว ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราอาจจะต้องปิดสาขาลงอีก เมื่อตอนระลอกแรก เราปิดไปสองสาขา รอบนี้ยังไม่รู้ว่าจะต้องปิดอีกเท่าไร แต่คาดว่าน่าจะต้องปิดอีกประมาณสองสาขา”










