แบรนด์ไทยที่เป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ได้ดี นอกจากยาดม ก็คงเป็น ‘เต่าเหยียบโลก’ ธุรกิจแป้งดับกลิ่นกายในตำนาน 29 ปี ที่ตอนนี้ยอดขายล่าสุดในปี 2567 ทะลุ 250 ล้านบาทไปแล้ว
ยอดขายของ บริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด หรือ เต่าเหยียบโลก ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเรียกว่า ‘น่าประทับใจ’ เพราะการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระดับเลข 3 หลัก จากที่มียอดขายอยู่ที่ 2 หลักมาตลอด
ปี 2567 รายได้ 250.54 ล้านบาท กำไร 18.70 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 193.91 ล้านบาท กำไร 11.02 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 125.11 ล้านบาท กำไร 5.38 ล้านบาท
จะเห็นว่าธุรกิจของเต่าเหยียบโลก ที่ขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากกลยุทธ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่คิดมาอย่างดี ทั้งการรีแพ็คเกจ, การเลือกใช้พรีเซนเตอร์ ไปจนถึง การพัฒนาสินค้าสูตรใหม่ๆ ตามความต้องการของตลาด
แต่รู้มั้ยว่า แบรนด์คนไทยที่ยอดขายโตเป็นกราฟพุ่งทะยานสูง เกิดจากเงินลงทุนเพียง 20,000 บาท และเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการกัดฟันสู้
[ ลาออกตอนอายุ 40 จึงหันมาทำธุรกิจ ]
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ด้วยเงินทุน 20,000 บาท กับแรงกายแรงใจของ ‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’ ผู้ก่อตั้ง เขาใช้ความชำนาญทั้งหมดที่มีจากการเป็นเภสัชกรแผนโบราณกว่า 20 ปีในฐานะ ‘หลงจู๊’ พนักงานมือหนึ่งของร้านคนจีน
กระทั่งลาออกในวัย 40 ปีด้วยความน้อยใจเจ้าของร้านกับเหตุผลส่วนตัว และแล้ววันหนึ่งเขาจำได้ว่า เคยมีลูกค้าร้านขายยาซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาล มักจะมาสั่งปรุงยาซึ่งทำเป็นแป้งดับกลิ่นรักแร้ โดยเป็นสูตรโบราณ ทำมาตั้งแต่สมัยอากงอาม่า
เขาจึงลองเอามาผสมใช้เองบ้าง โดยใช้สารส้มนำมาแปรรูปให้เป็นผงแป้ง ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่ที่เขาเริ่มวางขายผงแป้งที่ทำขึ้นมาเอง ด้วยถุงซิปขนาด 20 กรัม
[ การตลาดคลาสลิก ‘ปากต่อปาก’ คือวิธีที่ดีที่สุด ]
กลยุทธ์ที่ สมชาย เลือกในตอนนั้น แทบไม่มีอะไรที่ซับซ้อน เป็นกลยุทธ์การตลาดแบบบ้านๆ ที่ผู้ประกอบการคนตัวเล็กในสมัยนี้ก็ยังใช้กัน
นั่นก็คือ การตลาดแบบปากต่อปาก (Word of Mouth Marketing) ก็คือการทำการตลาดที่ทำให้คนเกิดความสนใจ ประทับใจ พูดถึง และบอกต่อ เป็นหลักการตลาดที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกและอารมณ์ของลูกค้า ซึ่งวิธีการแบบนี้ ‘ธรรมชาติที่สุด’ เพราะยอดขายจะเกิดจากการแนะนำโดยคนใกล้ตัว มากกว่าการใช้งบเพื่อโฆษณา
แต่จุดที่น่าสนใจมากกว่า คือ การเลือก ‘ทำเล’ ขายสินค้า สมชายเลือกที่จะวางขายที่ร้านเสริมสวยของภรรยา เพราะคิดว่าคนเราจะใช้เวลากับร้านเสริมสวยนานพอที่จะดูและจับสินค้าที่วางอยู่ตรงหน้า
อีกแง่หนึ่งในเชิงการตลาด เว็บไซต์ entrepreneur วิเคราะห์ว่า การวางสินค้าไว้ใกล้กับผู้ซื้อ โดยที่ผู้บริโภคสามารถทดลองได้ง่ายๆ ในช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด อารมณ์ดีและเสถียร (การเสริมสวยเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผ่อนคลาย) จะเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสนใจและตัดสินใจซื้อสินค้าใหม่ได้
หลังจากนั้นเขาได้เริ่มขยายช่องทางขาย ด้วยการฝากสินค้าที่ร้านเสริมสวยร้านอื่น ความพยายามของสมชายในช่วงแรกๆ คือ เขาพยายามพูดซ้ำๆ เกี่ยวกับสรรพคุณของสินค้าตัวนี้ พูดเหมือนเดิมกับทุกร้าน รวมถึงการใช้ขนาดแพ็คเกจที่ไม่รบกวนพื้นที่ของร้านคนอื่น
ซึ่ง 80% ร้านอื่นๆ ยินดีให้เขาวางสินค้า เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก เป็นสินค้าที่ไม่เน่าเสีย ดูแลง่าย แถมยังได้ค่าส่วนต่างชิ้นละเกือบ 10 บาท หากร้านขายของได้
ส่วนที่มาของโลโก้รูป ‘เต่า’ ก็เพราะคนสมัยนั้นไม่ค่อยรู้หนังสือ การใช้รูปภาพสัตว์ที่เข้าใจง่าย และตรงกับสินค้าจะช่วยลดความซับซ้อนในการทำการตลาดได้ ซึ่งเต่า ก็เป็นชื่อเรียกติดตลกของคนไทยมานาน ‘กลิ่นเต่า = กลิ่นรักแร้’ ขณะที่เต่า ในความหมายของคนจีนก็มงคล
สำหรับการตลาดในเจเนเรชั่นใหม่ ซึ่งเข้ามาดูแลหลังเรียนจบ เห็นชัดมากๆ ตั้งแต่ที่มีเต่าเหยียบโลก วางขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง ‘เซเว่น-อีเลฟเว่น’ และการเลือกพรีเซนเตอร์คนแรก ก็คือ ‘เบลล่า-ราณี แคมเปน’ ส่วนคนที่ 2 ก็คือ ‘มิกค์ ทองระย้า’
ไม่น่าแปลกใจนัก ที่เห็นยอดขายของเต่าเหยียบโลกพุ่งสูงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ สำหรับปีนี้ แบรนด์ดังกล่าวตั้งเป้าว่า จะมีรายได้ปิดจบอยู่ที่ 350 ล้านบาท ซึ่งดูจากเพอร์ฟอร์แมนซ์ ตั้งแต่ต้นปี รวมไปถึงการเปิดตัวสูตรใหม่อยู่เรื่้อยๆ เป้าหมายนี้น่าจะทุบสถิติแน่ๆ










