ในยุคศตวรรษที่ 21 ที่คนเรียนจบมหาวิทยาลัยมีจำนวนมากขึ้น เงินเดือนของคนสมัยนี้ก็มากกว่าคนรุ่นก่อน ทำให้หลายคนอาจคิดว่าการขยับสถานะทางสังคม อัปเลเวลชีวิต จะเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม
แต่เรื่องจริงอาจไม่เป็นแบบนั้น เมื่องานวิจัยและผลสำรวจหลายชิ้นพบว่า เป็นเรื่องยากกว่าเดิม ที่คนรุ่นใหม่จะรวยกว่า หรือตั้งตัวได้เร็วกว่าคนรุ่นพ่อแม่
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งเกิดทีหลัง ก็ยิ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะรวยกว่าพ่อแม่ได้นั่นเอง
ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แต่ที่ดูชัดเจนมากที่สุดก็คือ สหรัฐอเมริกา ที่รุ่นใหม่กลับขยับสถานะทางสังคมได้ยากกว่าเมื่อก่อน รวยช้า และกว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ก็ช้ากว่าคนรุ่นพ่อแม่มาก
The Economist ชี้ว่า ในประเทศร่ำรวยหลายประเทศ ‘ชนชั้นที่เกิดมา’ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คนขยับสถานะทางสังคม และรวยกว่าพ่อแม่ได้
แต่สำหรับสหรัฐอเมริกาที่ถือเป็นประเทศร่ำรวย และได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดนแห่งโอกาส” คนกลับขยับสถานะทางสังคมได้ช้ากว่าประเทศร่ำรวยอื่นๆ
ถ้าถามว่ามีโอกาสแค่ไหนที่คนที่เกิดจากครอบครัวชนชั้นล่าง จะก้าวไปสู่การเป็นคนชนชั้นสูงสุด ลองมาดูสถิติ
-สหรัฐอเมริกา มีโอกาสประมาณ 7.5%
-สหราชอาณาจักร มีโอกาสประมาณ 9%
-เดนมาร์ก มีโอกาสประมาณ 11.6%
-แคนาดา มีโอกาสประมาณ 13%
ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าคนที่เกิดมาจากครอบครัวชนชั้นล่าง หรือเกิดมาจน มีโอกาสน้อยมากที่จะเลื่อนสถานะไปเป็นคนรวย โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ตัวเลขน้อยกว่าประเทศร่ำรวยอื่น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมในเรื่องของรายได้ที่รุนแรงในประเทศ
[ หลายปัจจัยรุมเร้าคนรุ่นใหม่ ]
ค่าเงินที่เฟ้อมากขึ้น ข้าวของแพงมากขึ้น ราคาบ้านในยุคนี้ที่แพงกว่าเดิม ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เพียงแต่มีเงินน้อยกว่า แต่ยังมีทรัพย์สินน้อยกว่าคนรุ่นก่อนๆ ด้วย
งานวิจัยจาก Pew Research ระบุว่า คนวัยมิลเลนเนียลนั้นกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านที่ส่งผลให้ไม่สามารถก้าวไปสู่ความร่ำรวยหรือความมั่นคงในชีวิตได้เร็วเท่าคนรุ่นพ่อแม่
โดย Michael Hout ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า สาเหตุเป็นเพราะคนมิลเลนเนียลเติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ที่เศรษฐกิจพังทลายจากการถดถอยครั้งใหญ่
ขณะที่คนรุ่นพ่อแม่นั้นเกิดมาช่วงที่เศรษฐกิจเอื้ออำนวยกว่า จึงขยับสถานะทางสังคมได้มากกว่า
โดยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวอเมริกันและอังกฤษขยับสถานะทางสังคมกันได้ง่ายมาก เนื่องจากตำแหน่งงานระดับโปรเฟสชั่นนอลกับระดับผู้จัดการมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ชนชั้นแรงงานไต่เต้าเงินเดือน และขยับสถานะทางสังคมได้ง่าย
ผลดังกล่าวทำให้เด็กที่เกิดในอเมริกาช่วงนั้น หรือผู้ที่เกิดในปี1940 ราว 91.5% สามารถตั้งตัวและร่ำรวยกว่าคนรุ่นพ่อแม่ได้
แต่ตัวเลขดังกล่าวกลับลดลงเรื่อยๆ กล่าวคือ
-ปี 1955 เหลือเพียง 70%
-ปี 1970 เหลือเพียง 60%
-ปี 1980 ลดลงมาเหลือแค่ 50%
สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องคนมิลเลนเนียลจาก Stanford Center ที่เผยแพร่ในนิตยสาร Poverty & Inequality Pathways ในปี 2019 ที่ระบุว่า คนอเมริกันที่เกิดในยุค 1980s จำนวน 44% ทำงานที่อยู่ในสถานะทางสังคมสูงกว่าตอนที่พ่อแม่ของพวกเขาอายุ 30 ปี ส่วนอีก 49% ทำงานในระดับที่ต่ำกว่า
ขณะที่คนที่เกิดในยุค 1930s จำนวน 70% ทำได้ดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่
[ การศึกษาช่วยข้ามกำแพงความจนได้จริงหรือ? ]
เพราะการศึกษาเป็นตัวชี้วัดรายได้และโอกาสของชีวิตของคนมาเป็นเวลามากกว่า 50-60 ปีแล้ว แต่ในประเทศร่ำรวย การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมเป็นภาคบริการ ทำให้คนที่ไม่มีใบปริญญามีโอกาสน้อยลงที่จะรวย และคนที่ชนะก็กลายเป็นงานภาคบริการที่ได้รับค่าตอบแทนสูง เช่น หมอ และทนาย
จึงอาจกล่าวได้ว่า หนทางที่จะทำให้คนที่จนมาตั้งแต่เกิด ข้ามกำแพงความจนไปสู่ความมีกินมีใช้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่อง ‘การศึกษา’
แต่ประเด็นก็คือ โอกาสที่จะได้เรียนในสถาบันดีๆ หรือแม้แต่เข้าถึงการศึกษา ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ ‘ต้นทุน’ จากครอบครัวด้วย
ถ้าลองดูสถิติในสหราชอาณาจักร ปี 2016 พบว่า 40% ของคนที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Cambridge และ Oxford เป็นคนที่มาจากโรงเรียนเอกชน หรือเป็นลูกคนมีเงินนั่นเอง
และในบรรดาชาว UK ที่สามารถส่งลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชนได้ มีสัดส่วนเพียงแค่ 6.5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรพยายามแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ จนปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวลดลงบ้างแล้ว คือเหลือ 30.4%
ขณะที่ในฝั่งสหรัฐอเมริกา ผลสำรวจพบว่า 43% ของนักศึกษาผิวขาวที่จบจาก Harvard University ระหว่างปี 2014-2019 ไม่ได้มีแค่ผลงานวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเด็กที่มี ‘ความพิเศษ’ คือมีภาษีดีกว่าคนอื่นๆ เช่น เป็นลูกศิษย์เก่า เป็นลูกคนมีฐานะหรือคนมีชื่อเสียง เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น สถิติคะแนนจากข้อสอบที่นำไปใช้เข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างข้อสอบ SATs ก็เป็นตัวชี้วัดได้อีกว่า คนที่เกิดมาครอบครัวมีเงิน มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า
ทั้งนี้ สถิติในปี 2016 พบว่า
-เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีคะแนน SATs เฉลี่ยที่ 430 คะแนน
-เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้ต่อปี 80,000-100,000 ดอลลาร์ มีคะแนน SATs เฉลี่ยที่ 500 คะแนน
-เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 200,000 ดอลลาร์ มีคะแนน SATs เฉลี่ยที่ 570 คะแนน
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนและยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า การเกิดมาครอบครัวที่พ่อแม่รวย ทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับการศึกษาที่ดี ทำคะแนนได้ดีกว่า มีโอกาสเข้าเรียนในสถาบันชั้นนำของประเทศได้มากกว่า ส่งให้มีโอกาสสร้างรายได้ และขยับสถานะทางสังคมได้มากกว่าคนที่เกิดมาในครอบครัวยากจน และพ่อแม่ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญา
ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็น ‘หนี้การศึกษา’ จากค่าเล่าเรียนที่แพงขึ้น กลายเป็นอีกตอใหญ่ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รวยกว่าพ่อแม่เสียที
โดยคนมิลเลนเนียลที่เริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยในปี 1999 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 15,604 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อเป็นค่าเล่าเรียนในระดับปริญญาตรี, ค่าธรรมเนียม, ค่าเช่าห้องพัก และค่าอาหาร
ขณะที่ชาวเจน X และเบบี้บูมมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสำหรับเรียนมหาวิทยาลัยราวปีละ 10,300 ดอลลาร์เท่านั้น
เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเหล่านี้สร้างภาระทางการเงินให้กับชาวมิลเลนเนียลเป็นเวลาหลายปี ที่น่าสลดใจก็คือ บางคนต้องดร็อปกลางคันเพื่อไปทำงาน เนื่องจากเจอวิกฤตการเงิน และแม้จะผ่านมาแล้ว 20 ปีก็ยังต้องจ่ายหนี้ก้อนนั้นอยู่ทั้งที่ไม่ได้ใบปริญญาด้วยซ้ำ
[ สภาพแวดล้อมคือส่วนสำคัญ ]
ต่อเนื่องจากการเกิดมาในครอบครัวที่มีต้นทุนพร้อม การเกิดมาในย่านหรือทำเลที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่ดี ก็สอดคล้องกับการที่คนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในการขยับสถานะทางสังคมด้วย
โดยสถิติระบุว่า คนที่เกิดมาในย่านครอบครัวที่มีรายได้สูง เป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูงมากที่จะมีรายได้โดยเฉลี่ยถึง 70,000 ดอลลาร์ต่อปี ขณะที่คนที่เกิดมาในชุมชนแออัดในเมืองเล็กๆ มักมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 22,000 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น
ซึ่งสภาพแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสหรัฐอเมริกา แต่รวมถึงอีกประเทศมหาอำนาจอย่าง ‘จีน’ ด้วย โดยในจีนเรียกสิ่งนี้ “วงล้อมแห่งสังคม” ที่ไม่ได้หมายถึงทำเลที่อยู่เท่านั้นที่มีผลต่อการขยับสถานะทางสังคม แต่หมายรวมไปถึงการอยู่ในแวดวงหรือแวดล้อมของคนมีเงิน ก็จะทำให้มีโอกาสขยับสถานะได้มากกว่า
โดยมีแนวโน้มสูงมากที่เด็กที่เกิดในครอบครัวที่ยากจน หากไม่ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ จะมีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 12,000 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าคนรุ่นพ่อแม่
กล่าวโดยสรุป สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนอเมริกัน มีโอกาสน้อยขึ้นเรื่อยๆ ที่จะขยับสถานะให้ดีกว่าหรือรวยกว่าคนรุ่นพ่อแม่ คือการต้องเผชิญกับวงจรแห่งโอกาส ที่ได้แก่ต้นทุนชีวิต สถานะการเงินครอบครัว สภาพแวดล้อม ผสมกับปัจจัยอื่นคือเรื่องของสภาพเศรษฐกิจ
และการแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ คงหนีไม่พ้นการแก้ไขในด้านการเข้าถึงการศึกษา และการกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งต้องได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว แม้ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมจะไม่หมดไป แต่ก็ลดลงมาบ้างได้ก็ยังดี!
อ้างอิง:
https://www.youtube.com/watch?v=T1FdIvLg6i4&t=77s
https://edition.cnn.com/2020/01/11/politics/millennials-income-stalled-upward-mobility-us/index.html
https://cms.workpointtoday.com/american-millennial-no-home-more-debt/










